นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อติดตามการปฏิบัติด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของไทย ว่า ได้เชิญประชุมคณะทำงานฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ได้ลงนามแต่งตั้งเมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมการค้าต่างประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยมีอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นเลขานุการ
คณะทำงานชุดดังกล่าวถือเป็นกลไกสำคัญในการติดตามการดำเนินการด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของหน่วยงานไทย และเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน โดยประเด็นสำคัญที่มีการหารือในการประชุมครั้งนี้ เช่น การใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Form D) ในอาเซียน ซึ่งไทยและอาเซียนอีก 4 ประเทศ ได้แก่อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ได้เริ่มใช้ e-Form D ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 แล้ว แต่ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติโดยข้อมูลที่ระบุบน e-Form D อาจไม่ครบถ้วน หรือมีความคลาดเคลื่อนระหว่างต้นทางกับปลายทาง ที่ประชุมฯ จึงให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเร่งหารือกับประเทศอาเซียนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังหารือเรื่องการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบ Back-to-Back หรือ Back-to-Back CO ควบคู่ไปกับการใช้ใบกำกับราคาของประเทศที่สาม (Third Country Invoicing: TCI) เพื่อรองรับการค้าในรูปแบบปัจจุบันที่เริ่มมีผู้ค้าในหลายประเทศเข้ามาเกี่ยวพันมากขึ้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชน ตลอดจนการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันหลายประเทศได้มีการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) มากขึ้น โดยไทยประสบกับปัญหาดังกล่าวอย่างมากในอาเซียน เช่น มาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบรถยนต์นำเข้าของเวียดนามเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศ หรือมาตรการจำกัดปริมาณการนำเข้าสินค้าผักและผลไม้ของอินโดนีเซียเพื่อไม่ให้กระทบต่อฤดูกาลเก็บเกี่ยวในประเทศ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้พยายามแก้ไขปัญหา โดยได้มีการร้องเรียนกับประเทศคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันอาเซียนได้จัดทำระบบ ASEAN Solutions for Investment Service and Trade (ASSIST) เพื่อเป็นอีกช่องทางให้ผู้ประกอบการแจ้งปัญหาและอุปสรรคทางการค้าและการส่งออกไปในอาเซียนด้วยตนเอง แต่ยังพบว่ามีผู้ใช้งานระบบดังกล่าวน้อยมาก เนื่องจาก ASSIST ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ที่ประชุมฯ จึงให้หน่วยงานภาครัฐช่วยประชาสัมพันธ์กับภาคธุรกิจที่ตนเองประสานอยู่ด้วย ทั้งนี้สามารถร้องเรียนผ่านระบบ ASSIST ได้ทางเว็บไซต์ http://assist.asean.org/ ซึ่งจะมีระยะเวลาดำเนินการประมาณ 60 วันทำการ เพื่อแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ร้องเรียนทราบ
สำหรับเรื่องพันธกรณีของไทยภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (TFA) ขององค์การการค้าโลก (WTO) นั้น ได้มีการกำหนดให้ไทยต้องแจ้งกำหนดเวลาที่จะปฏิบัติตามความตกลงฯ และมาตรการที่ไทยต้องขอระยะเวลาในการปรับตัวซึ่งได้เริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.60 ที่ TFA มีผลบังคับใช้ อาทิ การมีกระบวนการทดสอบที่จะเปิดโอกาสให้มีการขอทดสอบครั้งที่สอง ในกรณีที่สินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์ ที่นำเข้าไม่ผ่านมาตรฐานการตรวจคุณภาพในการตรวจครั้งแรก ซึ่งได้ขอระยะเวลาปรับตัวไว้ 7 ปี และการจัดทำกลไกรองรับการประมวลผลเอกสารล่วงหน้าก่อนที่สินค้าผ่านแดนจะมาถึง โดยจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารประกอบการขนส่งต่าง ๆ ผ่านกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร ที่จะช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าผ่านแดนลง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขอระยะเวลาปรับตัวไว้ 5 ปี เป็นต้น
ทั้งนี้ จากการหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พบว่าหน่วยงานไทยมีความคืบหน้าในการปรับปรุงมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้า และอาจดำเนินการได้เร็วขึ้นกว่าระยะเวลาปรับตัวที่เคยแจ้งองค์การการค้าโลก (WTO) ไว้ เช่น การจัดทำระบบตรวจปล่อยสินค้าล่วงหน้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ลดระยะเวลาเหลือ 2 ปี โดยในปัจจุบันกรมศุลกากรได้เริ่มใช้ Pre-Arrival Processing กับการนำเข้าสินค้าแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.61 และการอุทธรณ์หรือทบทวนคำตัดสินของหน่วยงานที่ออกคำวินิจฉัยหรือหน่วยงานที่สูงกว่า ที่ลดระยะเวลาเหลือ 1 ปี โดยได้มอบให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศสรุปผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ และมาตรการที่อาจต้องการเวลาในการปรับตัวเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนแจ้ง WTO ต่อไป
"ที่ประชุมฯ พอใจที่หลายหน่วยงานสามารถดำเนินงานด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้เดิม" นางนันทวัลย์ กล่าว