ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10.4-10.6 ล้านคน เติบโต 6.3-8.4% จากที่ขยายตัว 12.0% ในปี 2560 และคาดว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยจะมีมูลค่าประมาณ 573,100-584,600 ล้านบาท เติบโต 9.3-11.4% จากที่เติบโต 15.8% ในปี 2560 (การเติบโตที่ชะลอลงส่วนหนึ่งมาจากผลของการเปรียบเทียบฐานที่สูงในปีที่ผ่านมา)
จากผลสำรวจของ China Tourism Academy และ Ctrip (เว็บไซต์ที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยวรายใหญ่ของจีน) พบว่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนในปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนที่มีแผนจะเดินทางท่องเที่ยวยังต่างประเทศมีประมาณ 6.15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.0% จากช่วงเทศกาลตรุษจีนของปีก่อนและจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนมีการจองผ่าน Ctrip อันดับแรก คือ ไทย (เมืองท่องเที่ยวที่เป็นนักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เป็นต้น) รองลงมา คือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์และเวียดนาม และจากผลสำรวจ พบว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยจะเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเองเป็นสัดส่วนประมาณ 52.0%
ทั้งนี้ จากผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน กอปรกับการทำตลาดอย่างเข้มข้นของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งรวมถึงห้างสรรพสินค้าที่ต่างทำการตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวจีนที่ชำระผ่านระบบการชำระเงินของจีนอย่าง Alipay หรือ Wechat Pay โดยให้คูปองส่วนลดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวในไทยน่าจะมีโอกาสสูงถึง 1.12 ล้านคน เติบโต 41.8% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนการเติบโตที่เร่งขึ้นนอกจากจะมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ส่วนหนึ่งยังเป็นผลของการเหลื่อมเดือนของเทศกาลตรุษจีนที่ปีนี้ตกในเดือนกุมภาพันธ์ขณะที่ปีก่อนอยู่ในเดือนมกราคม ทั้งนี้ หากขจัดผลของการเหลื่อมเดือนของช่วงตรุษจีนดังกล่าว โดยพิจารณาจากนักท่องเที่ยวจีนโดยรวมในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2561 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 2.10 ล้านคน ขยายตัว 27.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจุบันจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนยังคงกระจุกตัวในเมืองท่องเที่ยวหลัก อาทิ กรุงเทพฯ ชลบุรี (พัทยา) เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวรองที่ต้องการขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะการทำตลาดจับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวเอง หรือ FIT ซึ่งขณะนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยด้วยตัวเอง หรือ FIT เป็นสัดส่วนมากขึ้น (ประมาณ 58%) ผู้ประกอบการอาจจะเลือกใช้ช่องทางการทำตลาดผ่านระบบออนไลน์ อาทิ การทำตลาดผ่านเว็บไซต์ท่องเที่ยวออนไลน์ของจีนหรือการเลือกใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เป็นที่นิยมของจีน เนื่องจากประเทศจีนจะมีเครือข่ายสังคมออนไลน์เฉพาะ เช่น Wechat, Youku (ลักษณะการใช้งานเหมือน Youtube) และ Weibo (ลักษณะการใช้งานเหมือน Twitter) เป็นต้น
สำหรับทิศทางที่เหลือของปี 2561 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนท่องเที่ยวในไทยยังน่าจะมีความคึกคักต่อเนื่องจากต้นปี ซึ่งนอกจากภาวะแวดล้อมของตลาดที่ยังเอื้อต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยและสถานการณ์การท่องเที่ยวระหว่างประเทศจีนและเกาหลีใต้ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติแล้ว ในปี 2561 นี้ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทั้งไทยและจีนยังกลับมาทำตลาดอย่างเข้มข้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจสายการบินทั้งสายการบินของไทยและของจีนมีแผนขยายเส้นทางการบินระหว่างไทยและจีน ไปยังเมืองรองของจีนและการขยายเส้นทางการบินตรงมายังเมืองท่องเที่ยวรองของไทยเพื่อขยายฐานตลาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหม่
สำหรับประเด็นข้อกังวลในเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ค่าเงินบาทจะมีความผันผวนไปในทิศทางที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ในระยะสั้นน่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนในไทย เนื่องจากค่าเงินหยวนปรับแข็งค่าขึ้นไปในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินบาท กอปรกับเมื่อพิจารณาอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและเงินหยวนในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เห็นได้ว่าค่าเงินหยวนกลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินบาท
จากการที่นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าเป็นสัดส่วนที่สูง (สัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 29% ของมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนเดินทางท่องเที่ยวในไทย) ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจไทย เช่น ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าขนาดเล็กอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวจีนโดยการติดตั้งระบบเพื่อรองรับการชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่สมาร์ทโฟนของนักท่องเที่ยวจีน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจอย่างโรงแรมและที่พัก ร้านอาหารและการให้บริการรถเช่ามีการให้บริการดังกล่าวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จากความสะดวกสบายในการชำระเงินและการทำโปรโมชั่นผ่านระบบการชำระเงินของจีนก็อาจจะมีผลกระตุ้นทางจิตวิทยาให้นักท่องเที่ยวจีนมีการใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น