นางพรทิพา ทวีนุช ผู้อำนวยการกองบริหารงานทั่วไป การท่าเรือแหลมฉบัง เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 มูลค่า 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้มีการนำเสนอรายงานการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เรียบร้อยแล้ว คาดว่า สผ.จะใช้เวลาพิจารณารายละเอียดต่างๆ ประมาณ 6 เดือน และมีแนวโน้มว่าโครงการจะผ่าน EHIA อย่างแน่นอน โดยหลังจากนั้นจะมีการนำเสนอให้คณะกรรมการ PPP พิจารณาเห็นชอบการเปิดให้เอกชนเข้าร่วมทุนต่อไป
นางพรทิพา ระบุว่า หลังจากที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ PPP เรียบร้อยแล้ว ประมาณกลางปีนี้จะสามารถเปิดให้เอกชนเข้ามายื่นข้อเสนอเข้าร่วมทุนในโครงการได้ และน่าจะทราบผลผู้ชนะประมูลได้ราวต้นปี 62 จากนั้นจะเปิดสรรหาผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการและเริ่มก่อสร้างในปีเดียวกัน คาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 5 ปีและเปิดให้บริการราวปี 68 เมื่อมีการเปิดใช้โครงการอย่างเต็มศักยภาพแล้วเชื่อว่าจะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังติดหนึ่งใน 20 อันดับท่าเรือของโลกได้
"เราเชื่อว่าโครงการในเฟส 3 นี้จะมีส่วนช่วยสนับสนุน EEC ค่อนข้างมาก เนื่องจากปัจจุบันมีนักลงทุน 4-5 รายที่เข้ามาดูโครงการ เป็นนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้บริหารท่าเรือ และผู้ลงทุนใน EEC...โดยปัจจุบันมีการใช้บริการขนส่งที่ท่าเรือจนใกล้จะเต็มศักยภาพแล้ว หากไม่รีบดำเนินการสร้างให้แล้วเสร็จ จะทำให้ในปี 2564 การขนส่งที่ท่าเรือแหลมฉบังจะเกินศักยภาพที่จะรองรับได้" นางพรทิพา กล่าว
พรัอมประเมินว่า หลังจากก่อสร้างเฟส 3 แล้วเสร็จจะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังมีขีดความสามารถรองรับการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 11 ล้านตู้ทีอียู เป็น 18 ล้านตู้ทีอียู และรองรับการขนส่งรถยนต์จาก 1.9 ล้านคันต่อปี เพิ่มเป็น 3 ล้านคันต่อปี นอกจากนี้ ท่าเรือดังกล่าว ยังจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่งกับท่าเรือให้ไปสู่ระบบการขนส่งทางรางเพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน 500,000 ตู้ต่อปี เป็น 3 ล้านตู้ต่อปีในระยะแรก รวมถึงยังช่วยเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางเรือที่ท่าเทียบเรือชายฝั่ง เพิ่มเป็น 500,000 ตู้ จากปัจจุบัน 260,000 ตู้ต่อปี ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรที่แออัดทางถนนได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของท่าเทียบเรือชายฝั่งได้มีการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟ (SRTO) คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 62
ด้านนายจำเริญ โพธิยอด ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนรายใหญ่ 4 รายให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งกลุ่มนักลงทุนดังกล่าวได้เข้ามาพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมถึงศึกษารายละเอียดโครงการแล้ว เมื่อโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาแบบ EEC FASTTRACK ก็จะยิ่งทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในความเป็นไปได้ของโครงการมากขึ้น และการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยอย่างมากในอนาคต