(เพิ่มเติม) รมว.พาณิชย์ ตั้งเป้าส่งออกปี 61 โต 8% มูลค่า 2.55 แสนล้านดอลลาร์

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 19, 2018 17:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ในปี 2561 กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายการส่งออกของไทยไว้ 8% ที่มูลค่า 255,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเห็นว่าสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศจะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการออกไปบุกตลาดใหม่ๆ ร่วมกัน เพื่อที่จะทำให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และเป็นการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

"มั่นใจว่าเป้าหมายการส่งออกที่ 8% จะสามารถทำได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการประเมินภาพรวมแนวโน้มการส่งออกร่วมกับภาคเอกชนมาแล้ว ไม่ใช่การตั้งเป้าหมายขึ้นลอยๆ โดยได้ให้ทูตพาณิชย์ไปศึกษาว่าตลาดใดมีศักยภาพการเติบโตที่ดี ก็จะมีการเข้าไปเจาะตลาดมากขึ้น" นายสนธิรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้จะให้ความสำคัญกับเรื่องของ E-Commerce ในการช่วยผลักดันการค้าให้มากขึ้นด้วย รวมทั้งจะมีการพิจารณาเรื่องอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศของบางประเทศให้มีความเหมาะสมเพียงพอ ขณะเดียวกันในส่วนของทูตพาณิชย์เองก็จะต้องมีการปรับความคิดใหม่จากเดิมที่ทำหน้าที่กำกับดูแลมาเป็นการร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์ทางการค้าร่วมกันในการบุกตลาดใหม่ๆ ทั้งนี้เพื่อให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8% ในปีนี้ และเป็นการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

โดยในปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้มีการตั้งเป้าหมายการขยายตัวของการส่งออกในรายตลาดไว้ดังนี้ ตลาดอาเซียน โต 6.5%, ตลาดจีน-ฮ่องกง โต 10%, ตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย โต 7-12%, ตลาดเอเชียใต้ โต 8%, ตลาดยุโรป โต 5%, ตลาดสหรัฐอเมริกา ในส่วนของอเมริกาเหนือโต 7% และลาตินอเมริกา โต 3%, ตลาดแอฟริกา โต 11% และตลาดตะวันออกกลาง โต 5%

ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่จะผลักดันการส่งออกของไทยในปีนี้ให้เติบโตได้ 8% ตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้นั้นจะต้องมีการเพิ่มเติมในบางประเด็นที่สำคัญนอกเหนือไปจากการวางกลยุทธ์การส่งออกแล้ว เช่น บทบาทของทูตพาณิชย์ที่ต้องเกี่ยวข้องกับการนำนักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ไม่ใช่มีแค่บทบาทเฉพาะด้านการค้าระหว่างประเทศเท่านั้น, การส่งออกสินค้าบริการ, การให้น้ำหนักความสำคัญกับตลาดส่งออกในแต่ละภูมิภาคที่ต้องแตกต่างกัน เพื่อจัดสรรบุคลากรให้อย่างเหมาะสม, การสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้มีโอกาสขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ยังได้กำชับให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าไปพิจารณาการสร้างธุรกิจใหม่ขึ้น และมีการใช้ E-Commerce เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำการค้า โดยให้ไปทำงานร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกเพื่อสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาในตลาด รวมทั้งการให้ความสำคัญกับ Big Data ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลด้านการค้า และการตลาดเพื่อให้ผู้ประกอบการของไทยได้รับทราบและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการทำธุรกิจ

ส่วนสถานการณ์เงินบาทแข็งค่านั้น นายสมคิด เชื่อว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดูแลเต็มที่อยู่แล้ว แต่คงไม่ใช่การเข้าไปแทรกแซงอย่างเปิดเผยหรือโจ่งแจ้ง อย่างไรก็ดี การที่เงินบาทแข็งค่านั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงควรจะส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยออกไปลงทุนยังต่างประเทศให้มากขึ้น หรือการให้กองทุนต่างๆ ของรัฐพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น นอกจากนี้กรมสรรพากรกำลังพิจารณาหามาตรการเพื่อจูงใจให้นักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศนำส่งเงินปันผลกลับมายังประเทศให้ได้มากขึ้น

นายสมคิด กล่าวว่า กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศตัวเลข GDP ในปี 60 ขยายตัวได้ 3.9% และไตรมาส 4/60 ขยายตัวได้ 4% นั้น ถือเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ ส่วนปีนี้ที่คาดว่า GDP จะขยายตัวได้ในกรอบ 3.6-4.6% นั้น ก็ต้องพยายามทำให้บรรลุเป้าหมายด้วยการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง มีการปรับฐานภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทยให้แข็งแรง สร้างธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น และที่สำคัญต้องเข้าถึงยุคดิจิทัล เพราะโลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงสูงมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ