นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการจัดเก็บภาษี โดยจะเสนอให้มีการแยกหน่วยงานจัดเก็บภาษีออกมาจากกระทรวงการคลัง ซึ่งหมายถึงกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร แล้วตั้งเป็นหน่วยงานจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระ (Semi-autonomous Revenue Agency) หรือ SARA โดยยังคงมีกระทรวงการคลังเป็นผู้กำหนดนโยบายเรื่องภาษี
"หน่วยงานเก็บภาษีกึ่งอิสระ หลักการคือเป็นหน่วยงานกึ่งอิสระคล้ายแบงก์ชาติ แต่ไม่ได้อิสระเหมือนแบงก์ชาติทั้งหมด มีหน้าที่เก็บภาษีโดยเฉพาะ และกระทรวงการคลังจะกำหนดนโยบาย สิ่งที่เราทำนี้จะช่วยทำให้รายได้ภาษีต่อจีดีพีเพิ่มสูงขึ้น เพราะประสิทธิภาพการจัดเก็บจะดีขึ้น" นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า รายได้ภาษีต่อจีดีพีในช่วงปี 2504-2527 อยู่ที่ 13.3% ต่อจีดีพี และขยับมาอยู่ที่ 17.9% ต่อจีดีพีในช่วงปี 2535-2560 ซึ่งยังถือว่าสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในโลก โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 62 จาก 127 ประเทศ แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก
นอกจากนี้ แต่ละกรมจัดเก็บภาษียังมีต้นทุนจากการจัดเก็บภาษีสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น กรมสรรพากร มีต้นทุน 1% กรมสรรพสามิต มีต้นทุน 1.4% และกรมศุลกากร มีต้นทุน 3% ขณะที่โดยเฉลี่ยประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีต้นทุนการจัดเก็บภาษีอยู่ที่เพียง 1.04% ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูงในการที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีเพื่อให้ชำระภาษีนิติบุคคลอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนด้านบุคลากรที่ทำเรื่องภาษี, โปรแกรมบัญชี, ค่าฝึกอบรม ค่าเอกสารต่างๆ และต้นทุนที่ใช้ในการจ้างทำบัญชีและตรวจสอบบัญชี รวมแล้วรายละประมาณ 250,000 บาท
"เมื่อต้นทุนจัดเก็บภาษีก็สูงเมื่อเทียบกับคนอื่น ต้นทุนที่ผู้เสียภาษีเองต้องใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีก็สูง ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการที่เราเสนอว่าต้องมีหน่วยงานจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระ ซึ่งจะเป็นไปได้หรือไม่ต้องศึกษาต่อ แต่เรื่องนี้อยู่ในแผนปฏิรูปแล้ว โครงสร้างหน่วยงานต้องยืดหยุ่น และสามารถลดต้นทุนการบริหารจัดเก็บภาษีได้ ต้องเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการบริการด้านการเสียภาษีให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน" นายสมชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า หน่วยงานดังกล่าวที่จะตั้งขึ้นในอนาคตจะต้องทำหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ตลอดจนมีอิสระเรื่องการแต่งตั้ง โยกย้าย คัดเลือกบุคลากร การจ่ายค่าตอบแทน และที่สำคัญต้องปลอดจากการเมืองอย่างชัดเจน
"หน่วยงานนี้ต้องประสบความสำเร็จในการขยายฐานภาษี เปรียบเสมือนผู้จัดเก็บภาษีมืออาชีพ ไม่มีเรื่องการรับเงินใต้โต๊ะ เพราะเงินได้ถูกกำหนดขึ้นเองภายใต้ผลงานของเขา เก็บได้มาก ก็ได้งบประมาณเพิ่มมากตาม" นายสมชัย กล่าว