ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีหมายเลขดำที่ 734/2554 ระหว่าง บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ที่ 1 กับพวก รวม 8 คน กับ นายอำเภอสะพาน ที่ 1 กับพวก รวม 3 คน กรณีมีคำสั่งให้ SSI กับพวก งดเว้นการกระทำใดๆ และให้ออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองแม่รำพึง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เนื่องจากศาลฯ เห็นว่าการที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาบางสะพาน ได้ออก น.ส. 3 ก. ทั้ง 52 ฉบับ ให้แก่บุคคลที่ไม่สามารถออก น.ส. 3 ก. ให้ได้ และยังเป็นการออก น.ส. 3 ก. ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ น.ส. 3 ก. ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ออกคำสั่งเพิกถอนและให้แก้ไขเนื้อที่ใน น.ส. 3 ก.จำนวน 52 ฉบับ ของ SSI กับพวกทั้งแปดแล้ว การที่นายอำเภอบางสะพาน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ได้อาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานและคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินดังกล่าว แล้วนำมาใช้เป็นเหตุผลในการออกคำสั่งให้ SSI กับพวกทั้งแปดงดเว้นการกระทำใดๆ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และให้ออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองแม่รำพึง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สำหรับคดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดฟ้องว่า คำสั่งของนายอำเภอบางสะพาน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ที่ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดงดเว้นการกระทำใดๆ และให้ออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองแม่รำพึง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งแปดไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณนี้ที่ปรากฏตัวตนชัดเจนก่อนวันที่ พ.ร.ฎ.กำหนดป่าคลองแม่รำพึงให้เป็นป่าคุ้มครองฯ มีผลใช้บังคับ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2484 ดังนั้น ที่ดินภายในแนวเขตแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ.จึงเป็นเขตป่าคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2484 เป็นต้นมา หลังจากนั้น เมื่อ พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2497 ก็ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดแจ้งการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณพิพาทที่อยู่นอก แนวเขตแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ. ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
ทั้งไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดที่ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณดังกล่าวมานำหรือส่งตัวแทนมานำพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสำรวจรังวัดที่ดินในการเดินสำรวจรังวัดเพื่อออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ซึ่งต่อมาเมื่อมีการออกกฎกระทรวงฉบับที่ 165 (พ.ศ. 2509)ฯ กำหนดให้ป่าคลองแม่รำพึงภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงฯ เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑ มกราคม 2510 จึงมีผลให้ที่ดินในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงฯ ซึ่งมีเขตพื้นที่ครอบคลุมทับที่ดินในแนวเขตป่าคุ้มครองเดิมตามแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ. กลายเป็นป่าสงวนแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2510 เป็นต้นมา อันเป็นที่ดินมีลักษณะต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทุกประเภท
ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาบางสะพาน ได้ออก น.ส. 3 ก. ทั้ง 52 ฉบับดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ออกคำสั่งเพิกถอนและให้แก้ไขเนื้อที่ใน น.ส. 3 ก.จำนวน 52 ฉบับนั้นแล้ว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานและคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินนำมาใช้เป็นเหตุผลในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดงดเว้นการกระทำใดๆ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และให้ออกจากป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย