พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานว่า มีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย ณ วันที่ 23 ก.พ.61 จำนวน 5,601,345 คน คิดเป็นร้อยละ 48.8 ของผู้มีบัตรทั้งหมดทั่วประเทศ 11.4 ล้านคน หรือมีผู้ไปขึ้นทะเบียนเฉลี่ยวันละ 329,491 คน โดยจังหวัดที่มีประชาชนเข้าร่วมโครงการมากที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนผู้มีบัตรสวัสดิการฯ คือ จ. กาฬสินธุ์ ศรีสะเกษ เลย ร้อยเอ็ด นครพนม ตามลำดับ
"นายกฯ เชิญชวนให้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 28 ก.พ.นี้ เพื่อรับเงินในบัตรสวัสดิการเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 100 – 200 บาท ภายในเดือน มี.ค.และได้รับโอกาสในการมีงานทำ มีความรู้และทักษะอาชีพ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบและสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ภายในเดือน เม.ย.เป็นต้นไป
โดยขอให้นำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไปยื่นแสดงความจำนงได้ที่ ณ สาขาของ ธ.ออมสิน ธ.ก.ส. หรือสถานที่ที่ผู้อำนวยการเขต (กทม.) หรือนายอำเภอ (จังหวัดอื่น ๆ) กำหนด ซึ่งเป็นเขตหรืออำเภอของที่อยู่ปัจจุบันที่เคยแจ้งไว้เมื่อตอนลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560"
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงโครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่ขณะนี้ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาฯ ระดับตำบล" ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการ หน่วยงานความมั่นคง ปราชญ์ชาวบ้าน และจิตอาสา ได้เริ่มลงพื้นที่สำรวจข้อมูลตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. ว่า จะต้องสะท้อนความต้องการของประชาชน และดำเนินการอย่างโปร่งใส
ทั้งนี้ เมื่อรวบรวมข้อมูลจากประชาชนแล้วจะจัดเตรียมแผนงาน โครงการ และงบประมาณต่อไป โดยจะครอบคลุมการพัฒนากลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือเศรษฐกิจฐานราก 3.5 หมื่นลบ. การพัฒนาเชิงพื้นที่ชุมชน การท่องเที่ยว กองทุนหมู่บ้าน 3.45 หมื่นลบ.และการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร 3 หมื่นลบ. รวมทั้งสิ้น 9.95 หมื่นลบ.
"นายกฯ อยากให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีความจริงใจที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและยกระดับเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การค้า การลงทุน ที่มีแนวโน้มดีขึ้น พร้อมทั้งตระหนักดีว่าจะต้องไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยโครงการที่เคยมีมาในอดีต และไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ โดยได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับทำงานอย่างมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ และซื่อสัตย์ และขอความร่วมมือประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตา หากพบความไม่โปร่งใสขอให้แจ้งไปยังนายกฯ ได้ทุกกรณี"