นายวันชัย วราวิทย์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า หากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดสินใจใช้มาตรา 232 กับสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมแล้ว จะทำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทยได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากถูกเรียกเก็บอากรเพิ่ม จะทำให้ราคานำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 58-60 ไทยมีมูลค่าการส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ มูลค่า 17,456-28,038.4 ล้านบาท และมีมูลค่าการส่งออกอลูมิเนียม 7,601.8-7,608 ล้านบาท โดยล่าสุด กรมฯ ได้ประสานกับภาคเอกชนของไทยที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงความคิดเห็นกรณีดังกล่าวต่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯแล้ว และจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เสนอให้ประธานาธิบดีพิจารณาใช้มาตรการภายใต้มาตรา 232 มี 2 ทางเลือก ได้แก่ 1.กำหนดโควตานำเข้าจากทุกประเทศที่ 86.7% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดในปี 60 และกำหนดโควตาภาษี โดยเรียกเก็บอากรจากอลูมิเนียมที่นำเข้าจากทุกประเทศเพิ่มเติมจากการเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนการทุ่มตลาด (เอดี/ซีวีดี) โดยเสนอให้เรียกเก็บอากรที่ 7.7%
ส่วนทางเลือกที่ 2 ได้แก่ เสนอให้กำหนดเก็บอากรจากทุกประเทศ โดยเรียกเก็บอากรนำเข้าอลูมิเนียมทุกชนิดจากทุกประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง รัสเซีย เวเนซูเอลา และเวียดนาม โดยเป็นการเก็บเพิ่มจากอากรเอดี/ซีวีดี ในอัตรา 23.6% สำหรับประเทศอื่นๆ จะจำกัดปริมาณนำเข้าที่ 100% ของปริมาณการนำเข้าในปี 60
นายวันชัย กล่าวว่า ขณะนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็ก และอลูมิเนียนที่นำเข้าจากทั่วโลก รวมถึงไทย แต่อยู่ระหว่างการพิจารณาตามที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอ คาดว่าจะประกาศได้อย่างเป็นทางการภายในเดือน เม.ย.นี้
"ตามกฎหมายของสหรัฐฯ หลังจากกระทรวงพาณิชย์เปิดไต่สวนภายใต้มาตรา 232 ตามกฎหมายการค้า ที่ว่าด้วยการปกป้องการนำเข้าสินค้า ที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นคง หรือเป็นภัยคุกคามต่อชาติ และเสนอให้ประธานาธิบดีใช้มาตรการขึ้นภาษี และกำหนดโควตานำเข้ากับสินค้าเหล็ก และอลูมินเนียมนำเข้าไปแล้วนั้น จากนั้นประธานาธิบดีจะมีเวลาพิจารณาตามข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯภายใน 90 วัน คาดว่า จะประกาศผลการพิจารณาสำหรับสินค้าเหล็กภายวันที่ 11 เม.ย.นี้ และสินค้าอลูมิเนียม ภายในวันที่ 19 เม.ย.นี้" นายวันชัย กล่าว