นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นการแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากรการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) เสร็จเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเสนอรายละเอียดให้กระทรวงการคลังพิจารณา ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบได้ภายในเดือน มี.ค.61 โดยการเปิดรับฟังความคิดเห็นในรอบที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการแสดงความคิดเห็นจากผู้ประกอบการในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งกรมสรรพากรสามารถตอบข้อสงสัยหรือโต้แย้งต่าง ๆ ได้อย่างเรียบร้อย
สำหรับสาระสำคัญเบื้องต้นของกฎหมาย กำหนดให้นิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ประกอบกิจการโดยการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ มีรายได้ กำไร มีการใช้โดเมนท้องถิ่นของไทย หรือมีการสร้างระบบการชำระเงินเป็นสกุลเงินไทย หรือมีการโอนเงินจากประเทศไทย ถือว่านิติบุคคลนี้ประกอบกิจการในประเทศไทย และให้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% และนำส่งกรมสรรพากร รวมทั้งกำหนดให้ผู้ประกอบการหากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รวมถึงยกเลิกการยกเว้นภาษี VAT สำหรับสินค้าที่มีการนำเข้าทางไปรษณีย์ที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
"กฎหมายดังกล่าว จะเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศได้" นายประสงค์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการยื่นแบบรายการแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2560 ที่เปิดให้ยื่นแบบตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึง 31 มี.ค.61 มีผู้เสียภาษีเริ่มทยอยยื่นแบบฟอร์มการภาษีแล้วประมาณ 3.3 ล้านราย ต่ำกว่าปีก่อนที่มีผู้ยื่นภาษีทั้งสิ้น 4 ล้านราย ส่วนใหญ่ยังมีการยื่นแบบล่าช้า เนื่องจากยังรอเอกสารประกันสุขภาพ เป็นต้น โดยในส่วนนี้แบ่งเป็นการยื่นภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 90% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 84%
ขณะที่ คาดว่ายอดการขอคืนภาษีในปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันกรมสรรพากรได้เร่งคืนภาษีแล้ว 8-9 แสนราย หรือประมาณ 80-90% คิดเป็นวงเงินประมาณ 1 หมื่นกว่าล้านบาท
"ยืนยันว่าการคืนภาษีปีนี้ไม่มีความล่าช้า หากมีการตรวจสอบด้านเอกสารครบถ้วน ซึ่งขณะนี้มีเพียงผู้ยื่นขอคืนภาษีและมีปัญหาเพียง 10% โดยจะต้องมีการส่งเอกสารเพิ่มเติม" นายประสงค์ กล่าว