นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ มั่นใจการระบายข้าวในสต็อกของรัฐที่เหลืออยู่อีกเพียงประมาณ 2 ล้านตัน จะไม่ส่งกระทบต่อผลผลิตข้าวนาปรังฤดูกาลผลิตใหม่ปี 2561 ที่กำลังจะทยอยออกสู่ตลาดและราคาที่เกษตรกรชาวนาจะได้รับ เนื่องจากข้าวคงเหลือในสต็อกของรัฐที่รอการระบายขณะนี้เกือบทั้งหมดเป็นข้าวที่จะระบายเข้าสู่อุตสาหกรรม ไม่ใช่ข้าวสำหรับการบริโภค โดยภาครัฐได้กำหนดช่องทางการระบายเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ชัดเจน ไม่ใช่อุปทานส่วนเกินที่จะส่งผลกระทบต่อกลไกตลาดและราคาข้าวปกติ
"ข้อกังวลว่าจะมีการรั่วไหลของข้าวเข้าสู่ตลาดปกติก็ขอให้สบายใจได้ว่า อคส.และ อ.ต.ก.มีกลไกในการกำกับดูแลและติดตามผู้ซื้อให้นำข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมโดยเคร่งครัด ไม่กลับเข้าสู่วงจรข้าวบริโภคแน่นอน" นายอดุลย์ กล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค.61 รัฐบาลไทยสามารถตกลงราคาสำหรับการนำเข้าข้าวงวดที่ 5 ปริมาณ 1 แสนตัน กับ COFCO Corporation รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้สัญญาแบบ G to G โดยกำหนดส่งมอบในเดือน มี.ค.-เม.ย.61 ซึ่งไทยจะเร่งเจรจาให้รัฐบาลจีนนำเข้าข้าวที่เหลือให้ครบ 1 ล้านตันตามสัญญาดังกล่าวโดยเร็ว
นอกจากนี้รัฐบาลสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (NFA Council) ได้ประกาศว่าจะนำเข้าข้าว 250,000 ตัน โดยการเปิดประมูลแบบ G to P และจะนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.61 ซึ่งคาดว่า NFA จะประกาศเปิดประมูลอย่างเป็นทางการภายในเดือน มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อสถานการณ์ข้าวนาปรังปีการผลิต 2561 ของไทย เพราะจะมีตลาดมารองรับผลผลิตข้าว และคาดว่าจะช่วยให้ราคาข้าวขาวที่เกษตรกรจะได้รับไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท/ตันข้าวเปลือก
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ผลจากความพยายามของรัฐบาล โดยคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ในการระบายข้าวค้างสต็อกจำนวนมหาศาลมาตั้งแต่เดือน พ.ค.57 จนถึงปัจจุบัน เป็นปริมาณกว่า 14.84 ล้านตัน เพื่อลดอุปทานข้าวส่วนเกินที่เป็นอุปสรรคและบิดเบือนระบบกลไกตลาดการค้าข้าวไทยมาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้ระบบการค้าข้าวไทยค่อยๆ กลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ตามกลไกตลาด และขอให้เกษตรกรชาวนาและผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการค้าข้าวไม่ต้องวิตกกังวลและมั่นใจได้ว่าข้าวที่เหลืออยู่ในสต็อกของรัฐปัจจุบันจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวที่เกษตรกรจะได้รับจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวฤดูกาลผลิตใหม่แต่อย่างใด