นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผู้แทนสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือผลกระทบและการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากการใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าภายใต้มาตรา 232 (National Security) กับสินค้าเหล็กและสินค้าอลูมิเนียมของสหรัฐฯ ว่า ในระยะสั้น (1 – 3 เดือน) หลังจากมีการใช้มาตรการภายใต้มาตรา 232 การส่งออกสินค้าเหล็กของไทยคงยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากราคาสินค้าเหล็กในสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นประมาณ 30% แล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าสินค้าเหล็กของไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่กำหนด แต่ก็ยังสามารถแข่งขันด้านราคาได้ ประกอบกับ ผู้ผลิตในสหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างการปรับตัวและไม่สามารถขายสินค้าในราคาต่ำในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผู้นำเข้าสหรัฐฯ จึงยังคงมีความต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอยู่
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวคาดว่าอุตสาหกรรมเหล็กไทยจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้ผลิตของสหรัฐฯ จะสามารถปรับตัวและเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงขึ้นจนสินค้ามีราคาที่แข่งขันได้ รวมทั้งผู้ผลิตเหล็กในแคนาดาและเม็กซิโกที่ได้รับการยกเว้นจากการใช้มาตรการ 232 จะได้เปรียบผู้ส่งออกประเทศอื่น ๆ รวมทั้งไทย และยังคงรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันของตนในตลาดสหรัฐฯ สำหรับผลิตภัณฑ์หลักของไทยที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ สินค้าท่อเหล็ก และสินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็น
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ไทยจะดำเนินการเจรจากับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อขอยกเว้นการใช้มาตรการ 232 เป็นรายพิกัดสินค้า โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะประกาศรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการดำเนินการขอยกเว้นเป็นรายพิกัด ภายในวันที่ 19 มีนาคม 2561 นี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนไทยจะได้ร่วมกันจัดเตรียมข้อมูล และหารือกับบริษัทที่เป็นคู่ค้าในสหรัฐฯ เพื่อยื่นขอยกเว้นมาตรการรายพิกัดสินค้าต่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ต่อไป
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถใช้เวทีเจรจาในการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Framework Agreement : TIFA) ไทย-สหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดจัดในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ เป็นเวทีหารือกับสหรัฐฯ เพื่อยกเว้นการใช้มาตรการ 232 กับไทย ซึ่งสหรัฐฯ เปิดช่องสำหรับประเทศที่มี Security Relationship ในการหารือเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะได้ติดตามการใช้มาตรการ 232 อย่างใกล้ชิดและร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของไทยต่อไป