นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) กล่าวในงานสัมนา GO THAILAND ลงทุนเพื่ออนาคต ในหัวข้อ "ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยต่อการพัฒนาอีอีซี" ว่า หลังจากที่มีความคืบหน้าการลงทุนระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเตรียมการเข้าลงทุนโครงการต่างๆ ใน EEC ซึ่งจะทำให้การลงทุนใน EEC มีความคึกคักมากขึ้นในช่วงต่อจากนี้
สำหรับการลงทุนของ PTTGC ในพื้นที่ EEC ได้มีการศึกษาและเตรียมลงทุนมาล่วงหน้าแล้ว ซึ่งเป็นการต่อยอดการลงทุนในโครงการที่อยู่ใน Eastern Seaboard โดยได้รับความร่วมมือจาก PTT และพันธมิตรต่างชาติที่เข้ามาร่วมลงทุน 7-8 ราย มูลค่าลงทุนรวมทั้งหมดราว 1 แสนล้านบาท โดยในวันที่ 23 มี.ค. 61 บริษัทเตรียมเริ่มตอกเสาเข็มของ 3 โครงการใน EEC มูลค่าลงทุนรวม 7 หมื่นล้านบาท พร้อมกับเตรียมการลงทุนในส่วนของอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็น BIO Chemical ในโครงการ BIO Complex มูลค่า 2-3 หมื่นล้านบาท พร้อมกับการต่อยอดและเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรมเกษตรไทยไปสู่การพัฒนามูลค่าเพิ่ม เช่า ปาล์ม และอ้อย ที่จะนำไปผลิตเป็นสินค้าต่อยอดที่ส่งเสริมความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมเกษตรไทย
"ภาพรวมความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยเริ่มกลับมามากขึ้น หลังจากที่มีความคืบหน้าของ EEC ออกมา โดยที่ประเทศไทยมีความพร้อมต่างๆ ที่จะรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้น อุตสาหกรรมที่เป็นโอกาสในอนาคต คือ อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ที่เป็นเทรนด์ในอนาคต และเป็นสิ่งที่ PTTGC กำลังมุ่งเน้นไป ซึ่งมองว่าจะเป็นสิ่งต่อยอด และการทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประเภทนี้ได้ โดยคาดว่าจะทำได้ดีกว่าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เรายังคงเป็นผู้ตามประเทศอื่นๆ อยู่" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า การลงทุนใน EEC เป็นการต่อยอดของโครงการ Eastern Seaboard ซึ่งจะทำให้การลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง กลับมาคึกคักมากขึ้น และเป็นการกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจในภาพรวม พร้อมกับเป็นการลงทุนในการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ต่อยอดจากเดิม ซึ่งจะสร้างความทันสมัยและเป็นก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมในประเทศไทย หรือไทยแลนด์ 4.0
นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงานสัมนา GO THAILAND ลงทุนเพื่ออนาคต ในหัวข้อ "เทคโนโลยีเพื่อการขนส่งในอนาคต" ว่า การพัฒนาพื้นที่ EEC จะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน โดยในเรื่องการขนส่งจะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเดินทาง เพราะหากมีการพัฒนาการเชื่อมโยงระบบคมนาคมต่างๆ ใน EEC แต่ไม่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้บริการได้ทราบถึงข้อมูลบริการและการบริการต่างๆ จะทำให้ประสิทธิผลของการพัฒนาการเชื่อมโยงด้านคมนาคมไม่เห็นผล
นอกจากนี้ ยังต้องการให้มีการบริการด้านรถยนต์ให้เพิ่มขึ้น ซึ่งทางแกร๊บได้เข้าไปรุกตลาด EEC ใน 3 จังหวัดแล้ว โดยมี Taxi ให้บริการจำนวน 700 คัน แต่มองว่ายังไม่เพียงพอ และพร้อมที่จะสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่ EEC ที่ใช้รถมาร่วมให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่ หรือนักท่องเที่ยว และเป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับคนในพื้นที่ EEC โดยที่มีรถยนต์จดทะเบียนป้ายดำใน EEC ทั้งหมด 500,000 คัน ทำให้เป็นโอกาสที่จะนำผู้ที่มีรถยนต์เข้ามาเป็นสมาชิกของแกร๊บในการให้บริการในพื้นที่ EEC
ทั้งนี้แกร๊บ ประมาณการการเพิ่มขึ้นของประชากรใน EEC เป็น 13.5 ล้านคน ในอีก 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่ 5 ล้านคน ซึ่งหากไม่มีการเตรียมการรองรับล่วงหน้า จะส่งผลต่อการบริหารจัดการด้านขนส่ง