TDRI แนะแนวทางช่วยผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลไม่ควรรีบร้อน ควรรอคดีสิ้นสุดก่อน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday March 20, 2018 13:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลว่า รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังไม่สมควรรีบร้อน "ช่วยเหลือ" ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลโดยเฉพาะการช่วยเหลือที่ไปไกลเกินขอบเขตที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ก่อนที่จะดำเนินการอย่างไร คสช. ควรรอคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดให้คดีสิ้นสุดเสียก่อน ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกไม่นานหลังจากที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อุทธรณ์คดีต่อศาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีเองก็เคยมีมติว่า ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐถูกฟ้องร้องคดี จะต้องยื่นอุทธรณ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ประเด็นหนึ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมคือ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีผลทำให้พฤติกรรมการเสพสื่อของประชาชนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากการเสพสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ ไปสู่การเสพสื่อออนไลน์เป็นหลัก โดยเฉพาะการเสพผ่านอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ ดังนั้น คลื่นความถี่ที่ใช้กับวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งได้รับความนิยมน้อยลง ควรถูกนำมาจัดสรรใหม่เพื่อใช้ในบริการโทรคมไร้สายแทน หากรัฐบาลเห็นว่า การปล่อยให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลถือครองคลื่นไว้ จะทำให้คลื่นไม่ถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า เพราะประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมการเสพสื่อไปแล้ว ก็ควรพิจารณานำเอาคลื่นทีวีดิจิทัลมาประมูลใหม่เพื่อใช้กับบริการโทรคมนาคม โดยเมื่อประมูลเสร็จ รัฐบาลก็สามารถยินยอมให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลคืนใบอนุญาตและคลื่นความถี่ที่ครอบครองอยู่ได้ เช่นเดียวกับที่มีการดำเนินการในสหรัฐ ซึ่งทำให้ทั้งคลื่นความถี่ถูกใช้อย่างคุ้มค่า รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น และผู้ประกอบการมีทางออก

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลส่วนใหญ่ประสบปัญหาการขาดทุนมาจากสาเหตุที่สำคัญ 3 ประการคือ หนึ่ง การเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการออกใบอนุญาตเพิ่มถึง 24 ใบ, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วมาก (technological disruption) ทำให้การชมโทรทัศน์ลดลงอย่างฮวบฮาบ และ ความบกพร่องของกสทช. ตามที่ศาลปกครองกลางชี้ไว้

นายสมเกียรติ กล่าวว่า การประสบปัญหาจากการขาดทุนจาก 2 สาเหตุแรกนั้น รัฐบาลและ กสทช. ไม่ควรต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจโดยปรกติ (normal business risk) โดยการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการและการแข่งขันที่ตามมานั้น เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกรายควรคาดหมายได้อยู่แล้ว ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วนั้น แม้จะคาดหมายได้ยากกว่า แต่ก็ยังถือว่าเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจโดยปรกติในโลกปัจจุบันที่ทุกคนต้องแบกรับอยู่นั่นเอง

ส่วนผลการขาดทุนที่เกิดขึ้นจากความบกพร่องของ กสทช. นั้น ผู้ประกอบการควรได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐตามสมควร โดยระดับการช่วยเหลือควรได้สัดส่วนกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรัฐ ไม่ควรด่วนสรุปว่า การที่ กสทช. มีความบกพร่องบางอย่างเป็นเหตุให้ กสทช. ต้องคืนเอกสารค้ำประกันแก่ผู้ประกอบการ หรือรัฐต้องหามาตการช่วยเหลือโดยไม่พิจารณาถึงระดับความเสียหายก่อน

สำหรับกรณีการประมูลคลื่น 4G มีความแตกต่างจากการประมูลคลื่นทีวีดิจิทัลมาก เพราะไม่ปรากฏชัดเจนว่า หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะ กสทช. ทำอะไรบกพร่อง นอกจากปล่อยให้บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด (JASMBB) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยบมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS)ซึ่งชนะการประมูลแล้วทิ้งใบอนุญาตได้ง่ายๆ จนรัฐบาลต้องไป "เชิญชวน" ให้บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) มารับใบอนุญาตแทน

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมนี้ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงจนส่งผลต่อผู้ประกอบการมากเท่ากับอุตสาหกรรมโทรทัศน์ เพราะแม้จะเสียรายได้จากบริการบางอย่างไป เช่น บริการเสียง แต่ก็มีรายได้จากการให้บริการข้อมูลมากขึ้น ผู้ประกอบการโทรคมนาคมส่วนใหญ่จึงยังมีกำไร แม้จะลดลงกว่าเดิมไปบ้าง

การกล่าวอ้างว่าการที่ แจส โมบาย เข้าร่วมประมูลแล้ว ทำให้ราคาสูงขึ้นนั้น อาจทำให้เรารู้สึกสงสารผู้ประกอบการทั้ง 2 คือ เอไอเอส และทรู แต่ต้องไม่ลืมว่า ทั้ง 2 ราย ได้พิจารณาแล้วว่า ราคาที่ตนประมูลได้ไปนั้นมีความคุ้มค่า และเงื่อนไขการจ่ายค่าประมูล รวมทั้งการจ่ายเป็นงวด 4 งวดตามที่กำหนดเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ มิฉะนั้นก็คงถอนตัวจากการประมูลไปแล้ว

ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่ คสช. จะต้องเข้ามา "อุ้ม" ผู้ประกอบการทั้งสอง แถมจะดำเนินการล่วงหน้า 2 ปี ก่อนถึงปี 2563 ก่อนที่ คสช. จะหมดอำนาจออกคำสั่งตามมาตรา 44 อันที่จริง ระยะเวลาในการผ่อนชำระค่าประมูลของ กสทช. นั้นถือได้ว่า ไม่เข้มงวด เพราะให้จ่าย 3 งวดแรกน้อยมากคือเพียง 1.7 หมื่นล้านบาท แล้วค่อยให้จ่ายที่เหลือประมาณ 6.4 หมื่นล้านบาทในงวดที่ 4 ซึ่งแตกต่างจากการประมูลคลื่นความถี่โดยทั่วไปในต่างประเทศ และการประมูลคลื่น 3G ที่ผ่านมาในประเทศไทยเอง ที่ให้จ่ายค่าประมูลเกือบหมดตั้งแต่ช่วงแรกๆ แน่นอนว่า เพื่อป้องกันปัญหาการ "เบี้ยว" กันภายหลัง

การที่ คสช. จะยินยอมให้เอไอเอส และทรู เปลี่ยนการจ่ายค่าประมูลงวดสุดท้ายรวดเดียวกลายเป็นการทยอยจ่ายใน 5 ปี จึงเป็นการยกประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการทั้ง 2 โดยแม้จะให้มีการจ่ายดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายกันนั้นก็ต่ำมากคือ 1.5% ต่อปี ทั้งที่ตามเงื่อนไขการประมูล การจ่ายค่าประมูลล่าช้านั้น ต้องคิดดอกเบี้ยถึง 15% ต่อปี ส่วนต่างดอกเบี้ยนี้เองที่เป็นผลประโยชน์มากมายมหาศาล

เมื่อคิดมูลค่าผลประโยชน์ที่ คสช. จะยกให้เอไอเอส และทรูนั้น จากส่วนต่างดอกเบี้ยดังกล่าว จะพบว่า สูงถึงรายละเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือรวมกันเกือบ 3 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว จะมากหรือน้อยกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลด (discount rate) ทั้งนี้หากเชื่อว่า ผู้ประกอบการทั้งสองสามารถระดมทุนมาจ่ายค่าประมูล จากทั้งการกู้และการเพิ่มทุน โดยมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย (WACC) ที่ประมาณ 9% ต่อปี ตามที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ใช้กับบริษัทเหล่านี้ ผลประโยชน์ที่คสช. จะยกให้ผู้ประกอบการทั้งสองก็ยังจะสูงถึงระดับ 1.6 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น หาก คสช. จะมีมติยกผลประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการทั้ง 2 รายตามที่เป็นข่าวจริง ก็คงทำให้ประชาชนอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า แม้ว่า คสช. และรัฐบาลประยุทธ์จะแตกต่างจากรัฐบาลทักษิณ 1 เพราะไม่ได้มีคณะรัฐมนตรีที่เต็มไปด้วยนายทุนโทรคมนาคมและนายทุนโทรทัศน์ จนเป็นที่มาของการเกิด "คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย" แต่นโยบาย "อุ้ม" นายทุนโทรคมนาคมก็แทบจะไม่ได้แตกต่างกันเลย

ความแตกต่างเล็กๆ หากจะมีก็คือ รัฐบาลทักษิณออกพระราชกำหนดเก็บภาษีสรรพสามิตเพื่อเอื้อผู้ประกอบการโทรคมนาคมในสมัยนั้น โดยแอบ "ซุก" ไปกับภาษีสรรพสามิตบริการอื่นๆ เช่น สนามกอล์ฟ ในขณะที่ผู้มีอำนาจรัฐในปัจจุบันกำลังจะอุ้มผู้ประกอบการโทรคมนาคมโดย "ซุก" ไปกับการอุ้มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ