ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ต่อเนื่องในการประชุม กนง. รอบที่สองของปี 2561 ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ เพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องของการขยายตัวเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความเสี่ยงจากนอกประเทศโดยเฉพาะความเสี่ยงในการเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอันอาจกลายเป็นปัจจัยกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัวอยู่ในช่วงกรอบล่างของเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อยังคงสนับสนุนนโยบายการเงินผ่อนคลายอยู่
สาเหตุที่คาดว่า กนง.น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% เนื่องจากแรงส่งจากการเบิกจ่ายที่อาจจะจำกัดในช่วงนี้ อาจต้องอาศัยนโยบายการเงินผ่อนคลายในการสนับสนุนความต่อเนื่องของการฟื้นตัวในการลงทุนจากภาคเอกชน ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่าการเบิกจ่ายภาครัฐยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็นแรงส่งในการผลักดันการลงทุนของภาคเอกชนได้เต็มที่มากนัก สะท้อนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังหดตัวในไตรมาส 4/2560 อันเป็นผลจาก พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ส่งผลให้กระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะในการแก้ไข ดังนั้นแรงส่งจากการลงทุนภาครัฐที่ยังคงน่าจะจำกัดในช่วงนี้ อาจจะต้องอาศัยนโยบายการเงินผ่อนคลายในการช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนให้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและไทยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยท่ามกลางสถานการณ์ที่การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ปรับตัวสู่ระดับที่เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ทำให้สหรัฐฯ มีการนำมาตรการกดกันการค้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเก็บภาษีการนำเข้าเครื่องซักผ้าและแผงโซลาร์เพื่อปกป้องผู้ผลิตของสหรัฐฯ การเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ตลอดจนการพิจารณาปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่อาจมีมูลค่ารวมสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ นับว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดสงครามการค้าโลกได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวหากลุกลามออกไปอาจจะส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกไทยในปีนี้
ถึงแม้ว่าเงินอัตราเงินเฟ้อของไทยจะมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น แต่ระดับเงินเฟ้อยังคงแกว่งตัวแถวกรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อ ทั้งนี้แรงกดดันเงินเฟ้อทั่วไปของไทยยังคงแกว่งตัวในระดับต่ำจากราคาอาหารสด แม้ว่าปัจจัยกดดันดังกล่าวจะทยอยหมดไปในช่วงหน้า จากสภาวะอากาศร้อนที่จะส่งผลให้ผลผลิตอาหาร แต่แรงกดดันเงินยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ท่ามกลางการฟื้นตัวของกำลังซื้อของประชาชนที่คงทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะเอื้อให้คณะกรรมการนโยบายการเงินสามารถคงนโยบายการเงินผ่อนคลายจนกว่าสัญญาณการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อจะมีความชัดเจนกว่านี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง.คงจะส่งสัญญาณในการตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกระยะ เพื่อเป็นการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ยังคงอาศัยเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์เป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญ นอกจากนี้การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะเป็นการช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาทเพิ่มเติมจากส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ที่ปรับแคบลง ทำให้แรงจูงใจในการดึงดูดเงินทุนต่างต่างชาติมีน้อยลง
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเงินทุนไหลออกอย่างฉลับพลันของไทยจำกัด เนื่องจากประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของอยู่ในระดับสูง จากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ยังคงขยายตัวได้ดี ดังนั้นโอกาสที่ กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้ายังคงอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม หากภาพรวมของการขยายตัวของเศรษฐกิจปรับดีขึ้นเข้าใกล้ระดับศักยภาพ และการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มทรงตัวหรืออ่อนค่าลง ก็จะเปิดโอกาสให้ กนง.อาจจะพิจารณาถึงความเหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2561 เป็นอย่างเร็ว