น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะติดตามกรณีสหรัฐฯ และจีน ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอย่างใกล้ชิด เพราะในแง่มหภาคทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในตลาดโลก เกิดความไม่มั่นใจด้านการค้าการลงทุน ส่งผลให้นักลงทุนหันมาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างทองคำ และอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง จนส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ามากขึ้น และกระทบผู้ส่งออกของไทยในที่สุด ซึ่งถือเป็นผลกระทบทางอ้อมต่อไทย
นอกจากนี้ หากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีสินค้าไฮเทคจากจีนจริง และถ้าไทยมีส่วนในห่วงโซ่การผลิตสินค้าชนิดนั้นๆ เช่น ไทยอาจส่งวัตถุดิบ หรือสินค้ากึ่งสำเร็จรูปไปให้จีนผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปแล้วส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ อย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น จะทำให้สินค้าจากไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย
"กรณีนี้ไทยคงต้องเจรจากับสหรัฐด้วย เพราะหากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจากจีนเพราะละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ไทยไม่เกี่ยวข้องด้วยก็ไม่ควรจะได้รับผลกระทบ หรือหากจีนจะฟ้องร้องสหรัฐในองค์การการค้าโลก (WTO) ไทยก็คงจะร่วมด้วย ขณะเดียวกันไทยคงต้องหาตลาดใหม่ๆ เพื่อส่งออกสินค้าเหล่านี้เพิ่มเติม เช่น สหภาพยุโรป เป็นต้น แต่จนถึงขณะนี้ยังคงยืนยันเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ที่ 8% จากปีก่อนตามเดิม" น.ส.ชุติมา กล่าว
น.ส.ชุติมา กล่าวว่า หากทั้งสหรัฐฯและจีน ตกลงกันได้ โดยสหรัฐจะไม่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน สินค้าไทยก็จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกับสินค้าจีนในตลาดสหรัฐ แต่หากตกลงกันไม่ได้ จีนคงจะหาทางส่งออกสินค้าไฮเทคที่สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีไปยังทั่วโลก รวมถึงอาจส่งออกมาไทยมากขึ้น และหากอุตสาหกรรมภายในของไทยได้รับความเสียหายจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมากๆ กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาใช้มาตรการปกป้องทางการค้า ซึ่งมีทั้งมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) มาตรการปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) เป็นต้น