นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์เตรียมการเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) หรือ TPP เดิม หลังจากที่สมาชิก 11 ประเทศได้ลงนามความตกลงไปเมื่อต้นเดือนมี.ค.61 โดยคาดว่าจะมีผลบังคับหลังจากสมาชิกครึ่งหนึ่ง หรือ 6 ประเทศให้สัตยาบัน โดยขอให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะทำงานประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม เนื่องจากขณะนี้มีหลายเงื่อนไขที่ได้ผ่อนปรนลงแล้ว และไม่ได้เป็นการบังคับ จึงทำให้การเข้าร่วม CPTPP จะส่งผลดีต่อไทย
"เราต้องการเข้าร่วมแน่นอน ตอนนี้ต้องเตรียมการ ขอให้ทำให้พร้อมก่อนจะไปญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้ เพราะจะไปหารือกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง เราแสดงท่าทีเข้าร่วมมาตั้งแต่ต้น ตอนที่ยังเป็น TPP แต่ตอนนั้นช้า ตอนนี้เราขอจองพื้นที่ตั้งแต่ต้นๆ ซึ่งดูแล้วว่าการเข้าร่วมจะมีผลดีกับไทยมากกว่าผลเสีย เราวิเคราะห์ดีแล้วถึงต้องเข้า"นายสมคิดกล่าว
นอกจากนี้ ขอให้เตรียมการเรื่องการเจรจาทบทวนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) เพราะที่ผ่านมาข้อตกลงฉบับนี้ช่วยทำให้การค้าขายระหว่างไทยและญี่ปุ่นเติบโต แต่การทบทวนข้อตกลงดังกล่าวจะต้องมีประเด็นใหม่ที่ไทยต้องการ เช่น ต้องการจะเปิดตลาดอะไร ต้องการความร่วมมืออะไรจากญี่ปุ่น ซึ่งต้องมีรายละเอียดให้ชัดเจน
ขณะเดียวกัน ให้ติดตามสถานการณ์เรื่องสงครามการค้าอย่างใกล้ชิด เพราะหากจีนถูกสหรัฐฯ กีดกันการค้า จะทำให้สินค้าของไทยโดนหางเลขไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับผลกระทบด้านเดียว เพราะไทยยังมีทางออก กล่าวคือสามารถส่งสินค้าไปขายที่อื่นได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องเตรียมตัวและหารือกับผู้ประกอบการล่วงหน้า
"ขอภาคเอกชนอย่าเกรง อย่ากลัว อย่าหวั่น เพราะภาครัฐจะช่วยหาตลาดให้ ขอให้เชื่อมั่นกระทรวงพาณิชย์ ไม่ต้องหวั่นไหว แต่เราก็จะไม่ประมาท" นายสมคิดกล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในส่วนของสินค้าเกษตรนั้น ได้ขอให้เร่งรัดแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมัน เนื่องจากขณะนี้ราคาลดลงเพราะตลาดโลกมีปริมาณผลผลิตมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าจะเข้าไปดูแลไม่ให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ต่ำกว่าต้นทุน และจะเร่งรัดการส่งออกและผลักดันให้นำไปใช้ผลิตเป็นไบโอดีเซล รวมถึงดูแลการลักลอบนำเข้า ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขณะนี้ราคาดี แต่ก็ต้องดูแลให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ และอย่าให้ถูกพ่อค้าเอาเปรียบ
สำหรับการดูแลค่าครองชีพนั้น นายสมคิด ได้ขอให้ผลักดันร้านค้าธงฟ้าประชารัฐต่อไป โดยได้รับรายงานว่ากำลังจะเพิ่มเป็น 40,000 ร้าน และขอให้ไปสำรวจว่าสินค้าใดขายดี หรือไม่ดี และให้เพิ่มรายการสินค้าใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของผู้มีรายได้น้อย รวมถึงให้ดึงเอกชนเข้ามาร่วมผลิตสินค้าป้อนให้กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยเชิญชวนทุกค่ายให้เข้าร่วม แต่ราคาต้องมีความเหมาะสม และเปิดโอกาสให้สินค้าชุมชนได้เข้ามาขายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐด้วย
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาประโยชน์และผลกระทบต่อการเข้าร่วม TPP มาแล้ว ซึ่งมีข้อสรุปว่าการเข้าร่วมจะส่งผลดีต่อไทย แต่ก็มีเงื่อนไขบางข้อที่มีผลกระทบ แต่หลังจากเปลี่ยนเป็น CPTPP ได้มีการผ่อนปรนเงื่อนไขลงมาก ทำให้มีโอกาสที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความชัดเจน กระทรวงพาณิชย์จะเชิญทุกฝ่ายมาหารือ และรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายก่อน ทั้งนี้ แม้ไม่มีสหรัฐฯ ไทยก็ยังยืนยันจะเข้าร่วม TPP แน่นอน เพราะไทยไม่ได้มองเฉพาะแค่ตลาด แต่มองถึงผลประโยชน์ในภาพรวมเป็นหลัก