นายธนวรรธน์ พลวิชัย รักษาการ ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ยอมรับว่า แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยดึงราคายางให้ปรับขึ้นได้มาก เนื่องจากขณะนี้มีปัจจัยลบสำคัญที่เพิ่มเข้ามา คือ ความกังวลกับกรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าจะมีผลมาถึงเศรษฐกิจโลก รวมทั้งความผันผวนของค่าเงิน โดยปัจจัยทั้งหมดมีส่วนทำให้เกิดการชะลอการสั่งซื้อยางจากประเทศผู้นำเข้า
"สถานการณ์ราคายางในตอนนี้ ถูกกดดันจากปัจจัยลบในเชิงจิตวิทยา เพราะแม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังดึงราคายางให้ขึ้นไปไม่ได้มาก อีกทั้งยังกังวลเรื่องสงครามการค้าที่อาจจะทำให้เศรษฐกิจโลกไม่โต ส่งผลต่อปริมาณการใช้ยาง จึงมีการชะลอการซื้อยาง รวมทั้งเรื่องค่าเงินในเอเชีย ทั้งหมดจึงยังเป็นปัจจัยที่กดดันราคายางอยู่ในขณะนี้" นายธนวรรธน์กล่าว
สำหรับแนวทางในการบริหารราคายางพารานั้น รักษาการ ผู้ว่าฯ กยท. กล่าวว่า ได้วางแนวทางที่จะผลักดันราคายางพาราให้เพิ่มสูงขึ้นภายใน 3 เดือน และมีโอกาสที่จะเห็นราคาขยับขึ้นไปที่ 50 บาท/กก.ได้ ประกอบด้วย 3 แนวทาง คือ 1.เพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศของหน่วยงานภาครัฐ โดยการแปรรูปยางพาราให้เป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ 2.ดำเนินการตามข้อตกลงร่วมระหว่าง 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ในการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา และ 3.ลดพื้นที่การปลูกยางในระยะปานกลาง และระยะยาว โดยส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นทดแทน
"จะต้องเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง และให้เป็นรูปธรรมทั้งในเรื่องการส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ ไม่ว่าเป็นการนำไปใช้ในการทำถนน การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เราตั้งใจจะผลักดันราคายางให้สูงขึ้นภายใต้บรรยากาศของเศรษฐกิจที่อาจยังมีความไม่แน่นอน เราหวังว่าจะให้ราคาเกิน 50 บาท" นายธนวรรธน์ กล่าว