นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2561 โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะสามารถฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขยายตัวที่ชัดเจน และน่าจะเติบโตได้มากกว่า 3.9% ที่ทำได้ในปี 2560 ตามแรงส่งจากภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ตลอดจนปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากการลงทุนของภาครัฐ จากการเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่บางส่วนถูกเลื่อนมาจากปี 2560
นอกจากนี้ บนเงื่อนไขที่รัฐบาลทยอยผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการเลือกตั้งต่างๆ น่าจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาตินำเม็ดเงินลงทุนโดยตรง (FDI) เข้าสู่ไทย เสริมให้ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้เดินหน้าได้อย่างมีเสถียรภาพตามที่ได้วางแผนไว้
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะส่วนที่มาจากปัจจัยนอกประเทศที่อยู่เหนือการควบคุม ซึ่งมี 3 กระแสเด่นที่สำคัญในปี 2561 ได้แก่
1.กระแสกีดกันทางการค้า ที่นำโดยสหรัฐฯ ภายใต้ยุคของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวใหญ่จากสหรัฐฯ แล้วหลายครั้ง โดยอ้างเหตุผลด้านการปกป้องการผลิตในประเทศ ด้านความมั่นคง และล่าสุดคือ ด้านการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในระดับรายสินค้าและระดับรายประเทศคู่ค้า โดยมีหนึ่งในประเทศเป้าหมายของการถูกกีดกันที่สำคัญ คือ จีน ที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูงถึง 3.75 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2560 ที่ผ่านมา
2.กระแสการโยกย้ายเงินทุน ในระหว่างที่รอความชัดเจนของประเด็นข้างต้น เงินดอลลาร์ฯ อาจมีทิศทางอ่อนค่าสวนทางกับเงินสกุลเอเชียและเงินบาทที่ได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า แต่ก่อนที่ประเด็นความกังวลจะคลี่คลาย ตลาดก็อาจกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยสำคัญอื่นๆ อาทิ สัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ สถานการณ์เหล่านี้ อาจทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนมีผลต่อทิศทางค่าเงินและราคาสินทรัพย์ทั่วโลกให้แกว่งตัวและผันผวนในช่วงระหว่างปี
3.กระแสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศแกนหลักของโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ต้องรอดูว่าจะมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเกิน 3 ครั้งในปี 2261 นี้หรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางผลตอบแทนในตลาดการเงินโลกและไทยได้เช่นกัน