(เพิ่มเติม) ADB คาด GDP ไทยปี 61 โต 4% จากเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ลงทุนเอกชน-บริโภคภายในกระเตื้องขึ้น, ปี 62 โต 4.1%

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday April 11, 2018 14:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย (Asian Development Outlook : ADO) โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 4% ในปี 61 และ 4.1% ในปี 62 เนื่องจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภายในประเทศที่กระเตื้องขึ้น

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อ ธ.ค.60 เอดีบี เคยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 61 จะขยายตัว 3.8% ใกล้เคียงกับปี 60

พร้อมกันนั้น รายงานในฉบับนี้ เอดีบี ได้คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะสูงถึง 6% ในปี 61 และ 5.9% สำหรับปี 62 ซึ่งปรับลดลงเล็กน้อยจาก 6.1% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในปี 60 หากไม่นับรวมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (Newly Industrialized Economies) ที่มีรายได้สูง คาดว่า GDP จะสูงถึง 6.5% ในปี 61 และ 6.4% สำหรับปี 62 ลดลงจาก 6.6% ในปี 60

"แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากนโยบายที่สมเหตุสมผล การขยายตัวปริมาณการส่งออก และอุปสงค์ภายในประเทศที่เข้มแข็ง...การเชื่อมโยงทางการค้าของภูมิภาคที่เข้มแข็งและนโยบายตั้งรับทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ช่วยวางรากฐานทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเพื่อให้ทนต่อปัจจัยความเสี่ยงภายนอกได้เป็นอย่างดี ซึ่งรวมถึง ความตึงเครียดทางการค้า และการไหลออกอย่างรวดเร็วของเงินทุน" นาย Yasuyuki Sawada หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอดีบี กล่าว

เอดีบี ยังระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมจะค่อยๆ ฟื้นตัว โดย GDP รวมของสหรัฐอเมริกา ประเทศโซนยุโรป และญี่ปุ่นจะสูงถึง 2.3% ในปี 61 และจะชะลอตัวลงที่ 2.0% ในปี 62 การบังคับใช้กฎหมายปฏิรูปภาษีล่าสุด (Tax Cuts) จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาแทน เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในขณะที่การเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นทางธุรกิจและนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโซนยุโรปและญี่ปุ่น

ภาคบริการของประเทศจีนซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 8% ในปี 60 ได้ทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 61 คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงที่ 6.6% และ 6.4% ในปี 62 หลังจากมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วที่ 6.9% ในปี 60 สำหรับประเทศจีน อุปสงค์ภายในประเทศและในต่างประเทศที่เข้มแข็ง ผนวกกับการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ได้วางรากฐานซึ่งช่วยให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของเศรษฐกิจมหภาคอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่เอเชียใต้ยังคงเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วที่สุดในโลก สาเหตุหลักเกิดจากการฟื้นตัวของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 7.3% สำหรับปีงบประมาณ 61 และ 7.6% สำหรับปีงบประมาณ 62 เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ในปี 60 ที่ 6.6% ผลกระทบจากการยกเลิกการใช้ธนบัตรฯ มูลค่าสูงได้หมดไป และการดำเนินการเก็บภาษีในสินค้าและบริการอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยเกื้อหนุนเศรษฐกิจของอินเดียไปจนถึงปี 62

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงได้รับอานิสงส์จากการกระเตื้องขึ้นของการค้าโลกและการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราการเติบโตของอนุภูมิภาคคาดว่าจะเติบโตที่ 5.2% ในปี 61 และ 62 ซึ่งเป็นอัตราคงเดิมจากเมื่อปี 60 การลงทุนและการบริโภคภายในประเทศที่เข้มแข็งจะช่วยเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ส่วนเศรษฐกิจของเวียดนามจะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มศักยภาพการผลิตในประเทศ

อัตราการเติบโตของเอเชียกลางคาดว่าจะสูงถึง 4.0% ในปี 61 และ 4.2 ในปี 62 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นปัจจัยเกื้อหนุนหลัก ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจของแปซิฟิกคาดไว้ที่ 2.2% และ 3.0% สำหรับปี 61-62 อันเนื่องมาจากปาปัวนิวกินีซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแปซิฟิก ได้เริ่มกลับมาฟื้นตัวจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตก๊าซธรรมชาติชั่วคราว

ราคาสินค้าผู้บริโภคและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในเอเชียที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอัตราเงินเฟ้อที่สูงยิ่งขึ้นในภูมิภาค ดัชนีราคาผู้บริโภคคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในปี 60 ไปอยู่ที่ 2.9% ในปี 61 และ 62 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีของภูมิภาคที่ 3.7%

ด้านความเสี่ยงต่างๆ ถือเป็นปัจจัยลบต่อการประมาณการเศรษฐกิจครั้งนี้ โดยความเสี่ยงหลักที่เกิดขึ้นคือความกังวลว่าความตึงเครียดทางการค้าจะบานปลาย แม้ว่านโยบายขึ้นภาษีสำหรับสินค้าบางประเภทของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาจะยังไม่ส่งผลต่อการค้าเท่าใดนัก แต่การเคลื่อนไหวต่อไปของสหรัฐและการโต้ตอบของประเทศต่างๆ ที่มีต่อสหรัฐฯ จะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนในเอเชียและแปซิฟิกถดถอยลง นอกจากนั้นการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะเป็นตัวเร่งการไหลออกของเงินทุน แต่สภาพคล่องที่มีจำนวนมากในภูมิภาคจะช่วยบรรเทาผลกระทบความเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่จะสามารถรับมือกับความท้าทายนี้ได้เป็นอย่างดี

หนี้ภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้นยังคงเป็นปัจจัยที่น่ากังวลของเศรษฐกิจบางประเทศในเอเชีย จากการศึกษาของเอดีบีพบว่า การสะสมหนี้สินจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น หนี้ภาคเอกชนในประเทศเอเชียกำลังพัฒนาได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลก และผลของการก่อหนี้ของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกซึ่งมีผลจำกัดต่อการเพิ่มผลผลิต ได้สะท้อนให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้ไม่ได้ทำให้เกิดการลงทุนที่งอกงามเสมอไป ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบายสามารถรับมือกับความเสี่ยงนี้ได้จากการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเงินในภูมิภาค


แท็ก เอเชีย   เอดีบี   asian   GDP  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ