นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทยตามที่กระทรวงการคลังเสนอว่า เป็นจังหวะที่ดีของธนาคารของไทยในการควบรวมกิจการ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ของไทยยังมีขนาดไม่ใหญ่มากเพื่อเทียบกับสถาบันการเงินในภูมิภาค นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์ในเรื่องของลูกค้าที่จะเพิ่มความหลากหลายขึ้นอีกด้วย
ผู้ว่าการ ธปท.ระบุว่า หากธนาคารพาณิชย์ไทยมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จะเป็นโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น ลดต้นทุนการบริหารจัดการ มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้นและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจขนาดใหญ่ได้ เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีขนาดไม่ใหญ่เมื่อเทียบการแข่งขันในภูมิภาค และบางแห่งก็มีพันธมิตรเป็นผู้ถือหุ้นต่างประเทศอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากขนาดของธนาคารพาณิชย์ยังมีขนาดเล็กจะไม่สามารถรองรับการลงทุนจากต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ได้นั้น นายวิรไท มองว่า การระดมทุนของภาคเอกชนทำได้หลายรูปแบบทั้งในตลาดทุนและการออกตราสารหนี้ ซึ่งต้องนำหลาย ๆ เรื่องมาประกอบการ จึงจะมีช่องทางที่มีประสิทธิภาพ มีจังหวะที่ที่สามารถตอบโจทย์หลากหลายได้
ส่วนการกำหนดกรอบระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนการควบรวมถึงวันที่ 31 ธ.ค.65 เพื่อเป็นการจูงใจให้มีการควบรวม เพราะหากไม่มีระยะเวลากำหนดก็จะทำให้สถาบันการเงินไม่รู้สึกตื่นตัว โดย ธปท.จะไม่กำหนดว่าสถาบันการเงินของไทยในระยะต่อไปจะมีจำนวนเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับกลไกของตลาดเป็นผู้กำหนด แต่ช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะเกิดการควบรวมกัน เพราะจะได้สิทธิพิเศษทางภาษีตามมาตรการที่ออกมา
"มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละสถาบันการเงินจะพิจารณากันเอง"
ผู้ว่าการ ธปท.ยังยืนยันว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้ทำให้รายได้ภาษีของรัฐบาลหายไป เพราะรัฐบาลไม่ได้มีรายได้จากการเก็บภาษีจากสถาบันการเงินอยู่แล้วแต่เป็นการลดภาษีที่เป็นอุปสรรค ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ยอมที่ให้มีการตัดจ่ายได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อเป็นการจูงใจให้เกิดการควบรวม