นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจสถานะแรงงานไทยจากการสอบถามกลุ่มแรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท/เดือน จำนวน 1,194 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า ภาระหนี้สินครัวเรือนของแรงงานไทยปี 61 มีมูลค่าสูงสุดในรอบ 10 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 52 โดยเฉลี่ยแรงงานเป็นหนี้ 137,000 บาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้น 4.95% เทียบกับปี 60 แบ่งเป็นกู้หนี้ในระบบสัดส่วน 65.4% ดอกเบี้ยเงินกู้ประมาณ 10.6% ต่อปี และกู้หนี้นอกระบบสัดส่วน 34.6% ดอกเบี้ยเงินกู้ประมาณ 20.1% ต่อเดือน
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ตอบ 96.0% ยังมีภาระหนี้ ซึ่งเป็นสัดส่วนการตอบที่สูงสุดในรอบ 10 ปีเช่นกัน โดยสาเหตุของการก่อหนี้ ส่วนใหญ่ 36.1% ระบุเป็นหนี้เพื่อใช้จ่ายทั่วไป รองลงมาก่อหนี้เพื่อซื้อทรัพย์ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ก่อหนี้เพื่อลงทุน ก่อหนี้เพื่อซื้อบ้าน ก่อหนี้เพื่อรักษาพยายาบาล และก่อหนี้เพื่อใช้เงินกู้ ขณะที่การผ่อนชำระหนี้ของแรงงานไทยพบว่า มีการใช้หนี้ต่อเดือนประมาณ 5,326 บาท และเมื่อถามว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเคยผิดนัดผ่อนชำระหรือไม่ ส่วนใหญ่ 85.4% ตอบเคยผิดนัดชำระ สาเหตุจากรายได้ลดลง ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ราคาสินค้าแพงขึ้น ภาระหนี้สินมากขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามภาระหนี้สินในปัจจุบันส่งผลต่อการใช้จ่ายภาพรวมหรือไม่ ผู้ตอบส่วนใหญ่ 45.7% ระบุการใช้จ่ายในปัจจุบันยังคงเท่าเดิม แต่การใช้จ่ายในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ผู้ตอบส่วนใหญ่ 47.2% ระบุจะใช้จ่ายลดลง และเมื่อสอบถามว่ามีรายได้ไม่พอรายจ่ายหรือไม่ ส่วนใหญ่ 68.5% ตอบมีปัญหา โดยสาเหตุจากรายได้ไม่เพิ่ม แต่ค่าครองชีพเพิ่ม ราคาสินค้าสูงขึ้น ภาระหนี้มากขึ้น อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น มีของต้องการซื้อมากขึ้น และรายได้ลดลง โดยสัดส่วน 65.1% ยังตอบว่าไม่มีอาชีพเสริมเพื่อหารายได้เพิ่ม
สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำที่มีผลเมื่อวันที่ 1 เม.ย.61 มีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด ผู้ตอบส่วนใหญ่ตอบเหมาะสมปานกลาง และต้องการให้รัฐบาลปรับเพิ่มค่าแรงงานขึ้นทุกปี ซึ่งต้องปรับเพิ่มให้เท่ากับค่าครองชีพที่เพิ่ม รวมทั้งต้องการให้รัฐบาลลดปัญหาการว่างงาน ควบคุมราคาสินค้า แก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ดูแลการประกันสังคม ลดดอกเบี้ยเงินกู้ และควบคุมหนี้นอกระบบ
ขณะเดียวกันยังได้สำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงหยุดวันแรงงานวันที่ 1 พ.ค. 61 ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้จ่ายในช่วงวันแรงงานของกลุ่มแรงงานประมาณ 2,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% เทียบกับการใช้จ่ายปี 60 โดยมูลค่าการใช้จ่ายสูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 52 ซึ่งสาเหตุของมูลค่าการใช้จ่ายวันแรงงานที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยกิจกรรมที่แรงงานทำช่วงวันแรงงาน คือ ท่องเที่ยว สังสรรค์ ทานอาหารนอกบ้าน ดูหนัง ซื้อของ เป็นต้น
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า การสำรวจประเมินได้ว่ากำลังซื้อของกลุ่มแรงงานเริ่มฟื้นแต่ยังเปราะบางมาก เมื่อรวมกับรายได้ของเกษตรกรที่ลดลงตามราคาสินค้าเกษตร ที่มีปัญหาทั้งราคายางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ ซึ่งทั้งกลุ่มผู้ใช้แรงงานและกลุ่มเกษตรกรมีสัดส่วนถึง 60% ในโครงสร้างประชากรไทย หรือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก ที่ยังไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ดังนั้น เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวช่วงนี้จึงมาจากภาคการท่องเที่ยวและส่งออกเท่านั้น
"สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาคือ เร่งงบกลางเข้าระบบท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการก่อสร้างในการจ้างแรงงาน และการดูแลราคาสินค้าเกษตร รวมทั้งเร่งโครงการลงทุนของภาครัฐ เพราะปัจจุบันเม็ดเงินเหล่านี้ยังลงไประบบท้องถิ่นช้า และบริษัทก่อสร้างที่ได้รับงานก็เป็นรายใหญ่ แต่รัฐบาลต้องกระจายงานให้ถึงบริษัทก่อสร้างรายย่อยด้วย เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 เติบโต 4.2-4.4% โดยศูนย์ฯ ยังไม่ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยปีนี้ ยังคงคาดการณ์เติบโตที่ 4.2-4.6%" นายธนวรรธน์ กล่าว