นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับภาครัฐและเอกชนของจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจ จ.บุรีรัมย์ โดยได้ยืนยันกับภาคเอกชนว่ากระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาและสร้างแบรนด์บุรีรัมย์ ด้วยการยกระดับการพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ มาตรฐานและสร้างความแตกต่าง เพื่อให้สินค้าเป็นที่จดจำและจำหน่ายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการในระดับฐานราก และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายรัฐบาล
"กระทรวงฯ พร้อมที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการตลาด โดยจะเข้ามาช่วยในการพัฒนาสินค้าและบริการโดยใช้นวัตกรรม เพื่อพัฒนาสินค้าทางการเกษตรสินค้าชุมชน และจะช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าและบริการที่ผลิตได้ โดยจะทำการเชื่อมโยงตลาดให้เข้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าที่เป็นพันธมิตรของกระทรวงฯ เชื่อมโยงให้นำเข้าไปจำหน่ายในฟาร์มเอ้าท์เล็ต และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่กำลังจะมีถึง 4 หมื่นแห่งทั่วประเทศ รวมถึงจะเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยว หากมาเที่ยวที่บุรีรัมย์ จะต้องซื้อหาสินค้าอะไรไปเป็นของกิน ของใช้ ของฝาก ซึ่งจะทำให้สินค้ามีช่องทางจำหน่ายได้เพิ่มขึ้น" รมว.พาณิชย์ระบุ
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ในด้านการพัฒนาการค้าชายแดน เห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้ประกอบการในจังหวัดบุรีรัมย์ที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งรัดและผลักดันให้จุดผ่อนปรนทางการค้าช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด ตรงข้ามกับบ้านจุ๊บโกกี อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย เป็นด่านถาวรเพื่อส่งเสริมและผลักดันการค้าชายแดนไทยกับกัมพูชาให้ขยายตัวได้เพิ่มขึ้น เพราะเป็นด่านที่มีโอกาสทางการค้าสูงมาก โดยเฉพาะการค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ยังมีแผนที่จะพัฒนาผู้ประกอบการตามแนวชายแดนให้มีขีดความสามารถในการเป็นผู้ส่งออก โดยจะจัดโครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่การค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (YEN-D Frontier) รุ่นไทย-กัมพูชา ณ จังหวัดสระแก้ว ในช่วงต้นเดือน ก.ย.2561 และจะเชิญผู้ประกอบการรุ่นใหม่จากจังหวัดบุรีรัมย์เข้าร่วมโครงการด้วย
ขณะเดียวกัน มีแผนที่จะสนับสนุนให้มีการลงทุนในด้านโลจิสติกส์ และเชื่อมโยงความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับกัมพูชา เพื่อรองรับการค้าที่ขยายตัว และพร้อมที่จะช่วยจัดตลาดการค้า เช่น ตลาดนัดชายแดน เพื่อสนับสนุนการซื้อขายสินค้าในพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้มีสถานที่จำหน่ายสินค้า และดึงประชาชนจากกัมพูชาเข้ามาซื้อสินค้าด้วย
ปัจจุบัน กัมพูชาถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญของไทย มีพื้นที่ติดกับ 7 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรี ตราด อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ แต่ละปีมีมูลค่าการค้าชายแดนประมาณ 1.2 แสนล้านบาท โดยปี 2560 มีมูลค่าการค้า 1.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.52% และเฉพาะจุดผ่อนปรนทางการค้าช่องสายตะกู มีมูลค่าการค้าในช่วง 2 เดือนของปี 2561 (ม.ค.-ก.พ.) รวม 30 ล้านบาท แยกเป็นส่งออก 21 ล้านบาท นำเข้า 9 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ ปูนซีเมนต์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เสื้อผ้ามือสอง และสินค้าทางการเกษตร