สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองค่าเงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าจากการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเครื่องชี้ตลาดแรงงาน รวมถึงพัฒนาการของระดับเงินเฟ้อสหรัฐฯ
ในสัปดาห์นี้จะมีประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนเมษายนที่คาดว่าจะปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ ประเด็นการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ประเมินว่าจะชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ โดยประเมินว่าธนาคารกลางอังกฤษจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ ซึ่ง KBANK มองเงินบาทจะเคลื่อนไหวทิศทางอ่อนค่าในกรอบ 31.50-31.90 บาทดอลลาร์
โดยค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 31.48 เงินบาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดทุนและการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนซึ่งส่งผลให้มีการส่งเงินกลับของนักลงทุนต่างชาติ ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ชี้ว่าที่ประชุมเริ่มเห็นพัฒนาการของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นและมีแนวโน้มปรับเข้าสู่อัตราเงินเฟ้อเป้าหมายมากขึ้นยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินบาท อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนรอติดตามข้อสรุปจากการเจรจาการค้าระหว่างทีมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีน ณ กรุงปักกิ่ง และปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 31.76
ค่าเงินเยน เปิดตลาดที่ระดับ 109.06 เยน/ดอลลาร์ และเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าลงจากมุมมองต่อค่าเงินดอลลาร์ที่ปรับสูงขึ้น โดยปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบสามเดือนที่ 110 เยน/ดอลลาร์ในช่วงกลางสัปดาห์ โดยเงินดอลลาร์ได้รับปัจจัยจากผลการประชุมเฟดที่ยังชี้ถึงทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง และความเสี่ยงการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ลดลง หลังจากสหรัฐฯ ขยายระยะเวลาการยกเว้นการกำหนดภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากสหภาพยุโรป แคนาดา และเม็กซิโกออกไปอีก 1 เดือน แม้ว่าด้านปัจจัยของญี่ปุ่น อาทิ ค่าเงินบาทยังโน้มอ่อนค่า จับตาประเด็นการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) จะยังสนับสนุนแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ตาม โดยเงินเยนมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงปลายสัปดาห์ปิดที่ระดับ 109.10 เยน/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.2121 ดอลลาร์/ยโร และเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าในช่วงสัปดาห์ตามภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปที่สะท้อนการขยายตัวที่อ่อนแอลง ทั้งด้านอัตราเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยอัตราเงินเฟ้อลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของอีซีบี นอกจากนี้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปไตรมาสที่ 1 ชะลอลงจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 0.4%QoQ จาก 0.7%QoQ และสำหรับเครื่องชี้ในเดือนเมษายนก็ยังสะท้อนภาพการชะลอลงของเศรษฐกิจ จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนที่แตะระดับต่ำสุดตั้งแต่แต่กุมภาพันธ์ 2017 ส่งผลให้เงินยูโรปรับลดลง และปิดที่ระดับ 1.1959 ดอลลาร์/ยูโร