นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเปิดงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 โดยยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้แตะระดับ 4% อย่างแน่นอน และถือเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในระดับนี้ โดยเป็นการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความพยายามของรัฐบาลที่ได้เข้ามาวางรากฐานต่างๆ ให้แก่ประเทศนับตั้งแต่ปี 57 ที่ผ่านมา แม้จะเป็นการบริหารประเทศภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ก็ตาม "เรากำลังอยู่ในช่วงที่เปลี่ยนผ่าน รัฐบาลจะทำทุกทางเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านดำเนินไปได้ดีที่สุด ตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้ดีที่สุด เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง...เชื่อมั่นว่าจะเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่ได้เห็น GDP แตะระดับ 4% ซึ่งเราไม่ได้เห็นมานานแล้ว ถ้าแตะระดับนี้ได้ก็จะเป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตข้างหน้า" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมระบุว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะให้ได้ว่าดัชนีหลายตัวที่เป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น เช่น ดัชนีด้านการบริโภค ด้านการลงทุน ซึ่งในส่วนของ SET Index นั้นแม้ดัชนีจะปรับตัวลดลงไปบ้างแต่ก็เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันทั่วโลก และมองว่าดัชนีหุ้นไทยในระยะยาวยังมีแนวโน้มที่ดี นายสมคิด กล่าวด้วยว่า แม้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะเริ่มแตะระดับที่ 4% แต่ก็ยังมีปัจจัยท้าทายอีกหลายเรื่องที่ต้องเผชิญ เช่น การยอมรับจากต่างประเทศ, ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนการปรับตัวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งในภาคการเงิน การธนาคาร ประกันภัย และตลาดทุน ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนของพฤติกรรมผู้บริโภค การจับจ่ายใช้สอย และภาคการผลิตที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรง "จากนี้เทคโนโลยีจะเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง ทั้งพฤติกรรมของประชาชน การบริโภค การจับจ่ายใช้สอย การผลิตที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เหมือนเป็นการเปลี่ยน Business Model ซึ่งถ้าไม่ยอมเปลี่ยนก็จะลำบากแน่นอน" รองนายกรัฐมนตรี ระบุ นายสมคิด คาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าโลกจะเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ โดยรัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญในส่วนนี้ และจะพยายามส่งเสริมให้ฝ่ายที่กำกับดูแลมีการติดตามตรวจสอบ ดูแลความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ด้านนางสาวรินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาเครื่องมือสำหรับการลงทุนยุคดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง และจะเปิดตัว SETBOT ซึ่งเป็นบริการ Chat ผ่าน Facebook Messenger ตัวช่วยในการลงทุนและวางแผนการออมการลงทุนระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนได้ทดลองใช้งานใน Money Expo 2018 โดยบริการดังกล่าวจะช่วยในการวางแผนแนะนำในการเริ่มลงทุน ตลอดจนช่วยวางแผนและคำนวณเงินออมในอนาคต
รวมทั้งจัด workshop วิธีการใช้แอพพลิเคชันและโปรแกรมเพื่อการคัดเลือกหุ้น-กองทุน DCA ผ่านฟังก์ชั่น Settrade DCA Order และ Streaming for Fund พร้อมแจก Trial Settrade Streaming เพื่อทดลองใช้ก่อนลงทุนจริง และแนะนำแหล่งข้อมูลการลงทุนผ่าน Digital Platform เพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน รณรงค์การลงทุนสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคนวัยเริ่มต้นทำงาน ผ่านการลงทุนแบบ DCA หรือ Dollar Cost Averaging ซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสม อีกทั้งสร้างผลตอบแผนที่ดีได้ โดยจากสถิติในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาหากลงทุนออมหุ้นใน SET50 ETF ทุกเดือนสม่ำเสมอจะสามารถสร้างผลตอบแทน 6.41% และหากรวมเงินปันผลแล้วจะอยู่ที่ 8.44% ซึ่งหากลงทุนต่อเนื่องระยะยาวก็จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ยั่งยืนได้