นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะติดตามสถานการณ์ LPG อีก 1 สัปดาห์ เพื่อเตรียมการประสานงานกับกรมการค้าภายใน เพื่อบริหารราคาจำหน่ายก๊าซหุงต้มให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป และห้ามมิให้มีการจำหน่ายก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนเกินราคาจำหน่ายปลีกที่กรมการค้าภายในประกาศกำหนด (ราคาแนะนำ) เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของต้นทุน LPG หลังจากราคาน้ำมันและ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 สัปดาห์ เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองระหว่างประเทศและความหวั่นเกรงว่าเหตุการณ์ในตะวันออกกลางอาจบานปลายได้
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นเป็น 74.58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และราคา LPG Cargo เพิ่มขึ้นเป็น 523 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น และราคาจำหน่ายปลีกมีแนวโน้มที่จะเกินกว่าราคาแนะนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ขนาด 15 กิโลกรัม ที่กรมการค้าภายในประกาศควบคุมอยู่ที่ราคาถังละ 353 บาท
อย่างไรก็ตาม หากราคา LPG ปรับสูงขึ้นอีก จากปัจจุบันราคาที่ 510-520 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ชนเพดานราคาแนะนำแล้ว ดังนั้นหากราคา LPG สูงขึ้นอีก กระทรวงพลังงานจำเป็นต้องปรับราคาแนะนำเพิ่มขึ้น นอกจากนี้กระทรวงฯไม่มีนโยบายที่จะนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้ามาอุดหนุนราคา LPG แน่นอน
ปัจจุบันกองทุนน้ำมันมีฐานะ 3.06 หมื่นล้านบาท และกองทุน LPG มีฐานะ 1 พันล้านบาท สามารถดูแลราคา LPG ได้อีก 3 เดือน โดยขณะนี้กองทุน LPG มีรายจ่ายอยู่ที่ 300 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหากราคา LPG ปรับเพิ่มขึ้นอีก กระทรวงพลังงานสั่งการให้ สนพ. ดูแลและหามาตรการดูแลราคา LPG ต่อไป
ส่วนการรับซื้อพลังงานทดแทน รมว.พลังงาน ยืนยันว่ากระทรวงพลังงานยังมีนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน แต่ราคาจะต้องไม่เกินราคา 2.44 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นราคาประมูล SPP Hybird Firm 17 ราย จำนวน 300 เมกะวัตต์ ที่เปิดประมูลในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับในช่วง 4-5 ปีข้างหน้ายังไม่มีความจำเป็นต้องรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติม ดังนั้นการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนในอนาคตจะต้องมีราคาไม่แพงกว่าราคาดังกล่าว และไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟ