นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา "Game Changer…เกมใหม่ เปลี่ยนอนาคต" ว่า จากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวได้ถึง 4.8% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีและน่าพอใจ เพราะเห็นการขยายตัวในหลายภาคธุรกิจ ทั้งภาคเกษตร การลงทุนภาคเอกชน อัตราการใช้กำลังการผลิต หรือการท่องเที่ยว
"ตัวเลข 4.8(%) เป็นตัวเลขที่ดีแต่ไม่แปลกใจ เพราะเป็นสิ่งที่เราพยายามมาตลอด ซึ่งจริงๆ น่าจะทะลุได้ตั้งแต่ไตรมาสที่แล้ว แต่การเบิกจ่ายยังล่าช้า ผมขอให้ทุกฝ่ายรักษาโมเมนตั้มที่ดีไว้ เพราะจะทำให้เราโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ" นายสมคิด กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่เคยพูดไว้ตลอด 3 ปีที่เข้ามาทำงานคือ สามารถหยุดการทรุดตัวของเศรษฐกิจได้แล้ว และเดินหน้าการปฏิรูปวางโครงสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสวางโครงสร้างไว้เมื่อปี 2548 แต่ก็พลาดโอกาสไป แต่ครั้งนี้จะไม่ยอมให้พลาดโอกาสนั้นอีก
สิ่งที่ตนเองมองเห็นคือโลกกำลังเปลี่ยน และหลายสิ่งกำลังเปลี่ยนไป แม้ที่ผ่านมาอาจจะกินบุญเก่ามาเยอะแล้วจากเสาหลักเศรษฐกิจในด้านต่างๆ เช่น การลงทุน การส่งออก การใช้จ่ายภาครัฐ แต่จำเป็นต้องวางโครงสร้างในแนวลึกด้วยตัวแปรต่างๆ ประกอบไปด้วย 1.การเพิ่มมูลค่า สร้างมาตรฐานและคุณภาพให้กับภาคผลิตและภาคบริการ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น ต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์ 2.ส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่และสตาร์ทอัพ ให้โอกาสคนตัวเล็กมีโอกาสประกอบธุรกิจ เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
3.ด้านดิจิทัล ส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ดิจิทัล โดยเมื่อวานได้มีโอกาสหารือกับผู้บริหาร Google ซึ่งทาง Google จะเพิ่มทีมงานโดยทำงานร่วมกับบริษัทในไทยในการสร้าง Google for Thailand เพื่อเพิ่มช่องทางการเรียนรู้ความต้องการของตลาดในประเทศไทย จึงได้ฝากให้ทาง Google เข้ามาช่วยอบรมบุคลากรของไทยให้เข้าถึงดิจิทัลให้มากขึ้น 4.การส่งเสริมภาคบริการแบบครบวงจร สร้างห่วงโซ่ทางธุรกิจให้สามารถสร้างแพลตฟอร์มที่สามารถต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยวได้ 5.การขยายเศรษฐกิจไปยังต่างจังหวัด การพัฒนาเมืองรอง และ 6. ประเทศไทยต้องมีความโดดเด่น ซึ่งไทยได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางทั้งในกลุ่ม CLMVT และอินโดแปซิฟิค จึงต้องใช้โอกาสนี้ในการสร้างความโดดเด่นทางธุรกิจและการพัฒนาความร่วมมือ
เมื่อสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศได้แล้ว สิ่งที่ต้องพยายามต่อไปคือการสร้างความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคแรงงานและภาคเกษตร โดยรัฐบาลจะเข้าไปดูแลคนระดับล่างและระดับกลางให้มากยิ่งขึ้น พยายามทำงานจนกว่าจะหมดเวลา อดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และพยายามวางพื้นฐานเพื่ออนาคตและคนรุ่นต่อไป
"สิ่งที่จำเป็นเพื่อการก้าวสู่อนาคตคือต้องมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ มีความมุ่งมั่น และคิดจะทำเพื่อส่วนร่วม อย่ายอมรับกับสภาพที่เกิดขึ้น แต่ต้องกุมสภาพและบริหารให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นระดับแมคโครหรือระดับภาคเอกชน"
รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า เป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวล กระทรวงพลังงานยังมีกองทุนน้ำมันที่สามารถดูแลได้ ซึ่งต้องติดตามราคาน้ำมันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ขณะที่กระทรวงการคลังมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยังสามารถดูแลคนจนได้อย่างน้อยถึงสิ้นปีนี้ ส่วนเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทางกระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบและดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว
"อย่ากังวลจนเกิดเหตุ ราคาน้ำมันเคยเกิน 100 (ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล) ไปแล้ว แต่เราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เราจะตั้งอยู่บนความไม่ประมาท" นายสมคิด กล่าว