พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมพิธีเปิดงานโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน และร่วมพบปะพูดคุยกับผู้แทนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทุกจังหวัด
นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีที่กองทุนหมู่บ้านฯ มีความก้าวหน้าจากปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยเกิดจากความร่วมมือและขับเคลื่อนด้วยพลังประชารัฐ ซึ่งต้องขอบคุณมหาวิทยาลัยทั้ง 18 แห่ง ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศเกิดความยั่งยืน ช่วยให้คนในประเทศมีคุณภาพ ซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้ ทั้งการบริหารจัดการ หลักการวิธีคิด ให้ครอบครัวมีความเข้มแข็ง โดยใช้ศาสตร์พระราชา โดยวันนี้ต้องทำให้ทุกอย่างมั่นคง มีมาตรการลดความเสี่ยง มีความพอเพียงและพอประมาณ และต้องรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ด้วยการเรียนรู้ให้มากขึ้น
"รัฐบาลจำเป็นต้องสื่อสาร 2 ทาง นำนโยบายต่างๆ ลงมา เพื่อจะดูว่าปัญหามีตรงจุดใด เพื่อวางแผนพัฒนาประเทศ นำไปสู่ความมั่งคั่ง อยากให้ทุกคนเข้าใจและมีความหวังว่าประเทศจะเป็นอย่างไรใน 10-20 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นที่มาของการวางยุทธศาตร์ชาติ 20 ปี เพื่อวางกรอบการทำงานของคนทุกกลุ่ม ส่วนอีกทาง คือประชาชน ต้องเป็นผู้เสนอโครงการและแนวคิดต่างๆ ขึ้นมาว่าต้องการสิ่งใดบ้าง" นายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า เงินทั้งหมดที่รัฐบาลได้มานั้นมาจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น ถ้าใช้เงินโดยไม่คิด เงินก็จะสูญเปล่า ดังนั้นรัฐบาลต้องคิดแผนและโครงการต่างๆ และเงินของกองทุนฯ ที่ลงไปจะต้องไม่สูญเปล่า ซึ่งเห็นได้ว่าหลายโครงการเป็นการดำเนินการที่ดีและช่วยสร้างรายได้ให้กับประชาชน พร้อมฝากให้ช่วยกันหาโครงการเพิ่มเติม โดยรัฐบาลจะติดตามและประเมินผล หากโครงการใดไม่มีผลสัมฤทธิ์จะต้องยกเลิก ดังนั้นการทำงานต้องสร้างความเข้มแข็งทั้งในส่วนของราชการและประชาชน ที่ต้องมีความเข้าใจในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ การเพิ่มขีดความสามารถของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ต้องใช้ช่องทางการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการค้าขาย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ทุกคนต้องเรียนรู้และปรับตัว เพื่อสร้างช่องทางการตลาดผ่านทางออนไลน์
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้วางการเชื่อมโยงระบคมนาคม ทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ซึ่งจะมีโครงการดำเนินการก่อสร้างรถไฟทางคู่อีก 4,000 กิโลเมตร เพื่อขยายเมืองและเปิดพื้นที่ทางธุรกิจในเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งถ้าประชาชนไม่ร่วมมือ และไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ และอยากให้มองถึงการเสียประโยชน์ส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนการเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ซึ่งหากประชาชนที่ต้องเสียที่ดินเพื่อมาทำประโยชน์ รัฐก็ต้องมีการช่วยเหลือดูแล
ทั้งนี้ รัฐบาลมีหลายมาตรการในการดูแลประชาชน ทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ซึ่งในระยะยาวได้มีการวางแผนใน 5 ปีข้างหน้า และเรื่องกองทุนหมู่บ้านฯ ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการเพิ่มความเข้มแข็งและกระจายรายได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้วางแนวทางการผลิตบุคลากรเพื่อไปสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องเริ่มพัฒนาตั้งแต่เด็กที่เกิดในปีนี้ และได้ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปสำรวจสถานศึกษาทั่วประเทศว่ายังมีเด็กนักเรียนที่จบการศึกษาในประดับประถมศึกษาปีที่ 4 แต่อ่านหนังสือไม่ออกจำนวนกี่คน ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องดูแลเรื่องนี้ให้ดีด้วย
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยนั้น นายกรัฐมนตรี เห็นว่าดีขึ้นแม้หลายคนจะไม่มองเช่นนั้น ซึ่งรัฐบาลพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด พร้อมฝากให้เกษตรกรเกิดการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ โดยต้องการเห็นการปรับเปลี่ยน ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างช่องทางการตลาดด้วย
"มีหลายคนไม่อยากฟังสิ่งที่รัฐบาลพูด เพราะสนใจเรื่องอื่นมากกว่า และเมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่รัฐบาลทำ ก็จะย้อนกลับมาต่อว่ารัฐบาล ผมยินดีรับคำด่าทุกอย่าง ดีกว่าคำชมที่เคลือบแฝงไปด้วยยาพิษ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมฝากให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบการใช้งบประมาณว่ามีความคุ้มค่าหรือมีการทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่ ขณะที่มีการวิพากษฺวิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้เงินจำนวนมาก แต่ขอยืนยันว่าแต่ละโครงการมีความจำเป็นที่ต้องทำ และการจัดสรรงบประมาณในวันนี้ได้กระจายไปทุกจังหวัดอย่างเท่าเทียม โดยไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่ต้องการให้เกิดวามยั่งยืน ซึ่งไม่อยากให้มองว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องการเมือง
ปัจจุบันกองทุนหมู่บ้านฯ มีสมาชิกประมาณ 13 ล้านคน มีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 3 แสนล้านบาท จากเงินจัดสรรจากรัฐประมาณ 2 แสนบาท ซึ่งในปี 2561 นี้ กองทุนหมูบ้านฯ เตรียมรับการสนับสนุนการดำเนินโครงการตามแนวทางประชารัฐ เพิ่มเติมอีก 20,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งประเทศไม่น้อยกว่า 12 ล้านครัวเรือน
นายสุรพงศ์ นิลพันธุ์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้เข้าไปร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตั้งแต่ ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน ธ.ก.ส. ได้ดูแลให้การสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 33,648 กองทุน จากกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ 79,593 กองทุน ทั้งการให้บริการด้านเงินฝาก และการให้บริการด้านสินเชื่อ ซึ่งได้ดำเนินการหลายโครงการ อาทิ โครงการสินเชื่อให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เพื่อเป็นทุนให้กู้แก่สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน, โครงการสนับสนุนสินเชื่อกองทุนหมู่บ้านและสถาบันการเงินชุมชน เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาหนี้นอกระบบของสมาชิก เป็นต้น รวมวงเงินกว่า 40,925 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2561 ธ.ก.ส. ได้เตรียมวงเงินสนับสนุนสินเชื่อให้กับกองทุนหมู่บ้านและสถาบันการเงินชุมชน เพิ่มเติมจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสมาชิก โดยนอกจากการสนับสนุนสินเชื่อแล้ว ยังได้นำองค์ความรู้ด้านต่างๆ เช่น การบริหารจัดการกลุ่ม การพัฒนาศักยภาพด้วยระบบโปรแกรมงานด้านบัญชี พร้อมพัฒนาผู้นำกองทุนหมู่บ้านเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้คำปรึกษาและดูแลสุขภาพทางการเงินแก่สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ด้วย