นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้เห็นชอบให้กรมฯ ในฐานะคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวในสต็อกของรัฐออกประกาศจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2561 ปริมาณ 1.49 ล้านตัน จำนวน 91 คลัง ปรากฏว่ามีผู้ผ่านคุณสมบัติผู้เสนอซื้อเบื้องต้นในการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2561 ทั้งหมด 26 ราย
ทั้งนี้ หากปรากฏภายหลังว่าผู้เสนอซื้อรายใดขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่ประกาศกำหนดจะถือว่าผู้เสนอซื้อรายนั้นขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่ต้น และจะถูกดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประกาศฯ ที่กำหนดไว้
ต่อมากรมฯ ได้กำหนดให้ผู้ผ่านคุณสมบัติผู้เสนอซื้อเบื้องต้นสามารถยื่นซองเสนอซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2561 ในวันที่ 14 มิถุนายน 2561 ซึ่งผลจากการเปิดซองเสนอซื้อในช่วงบ่ายปรากฏว่ามีผู้สนใจมายื่นซองจำนวน 22 ราย โดยเป็นผู้เสนอซื้อสูงสุด จำนวน 18 ราย ใน 88 คลัง ปริมาณ 1.48 ล้านตัน (คิดเป็น 99.04% ของปริมาณที่เปิดประมูลทั้งหมด) มูลค่าที่เสนอซื้อประมาณ 8,441 ล้านบาท และราคาเสนอซื้อเฉลี่ย คือ 4,967 บาท/ตัน สำหรับชนิดข้าวที่มีผู้เสนอซื้อมากที่สุด คือ ข้าวขาว 5% ปริมาณ 0.87 ล้านตัน คิดเป็น 58.84% รองลงมา คือ ปลายข้าว A 1 เลิศ ปริมาณ 0.47 ล้านตัน คิดเป็น 31.85%
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ในลำดับต่อไปกรมฯ จะดำเนินการประมวลผลการยื่นซองเสนอซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐดังกล่าว เข้าที่ประชุมคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวในสต็อกของรัฐ และคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวก่อนเสนอประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาให้ความเห็นชอบการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐ โดยข้าวที่นำออกมาระบายกลุ่มนี้เป็นการจำหน่ายเข้าสู่อุตสาหกรรม ซึ่งคณะกรรมการ นบข. ได้ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการนำข้าวในสต็อกของรัฐไปใช้ในอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก โดยกำชับให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) คุมเข้มกำกับดูแลให้ผู้ซื้อนำข้าวในสต็อกของรัฐไปใช้ในอุตสาหกรรมตามหนังสือรับรองตนเองที่แจ้งไว้โดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันการรั่วไหลเข้าสู่ระบบการค้าปกติ ซึ่งหากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข มีการนำข้าวไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย