นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย (KTB) ระบุว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าจะเริ่มเด่นชัดขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ค. นี้เป็นต้นไป และจะทวีความรุนแรงขึ้นหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เอาจริงกับการการขึ้นภาษีกับสินค้าจีนอีก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐตามที่ขู่ไว้ ซึ่งใน scenario นั้นเราอาจได้เห็นรายละเอียดของภาษีระลอกที่ 3 นี้ในช่วงเดือน ส.ค.หากทางสหรัฐฯ ใช้เวลาในการพิจารณารายชื่อสินค้าใกล้เคียงกับการทำภาษีในระลอกที่ 2
ขณะที่ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทันที เพราะการค้าระหว่างประเทศจะได้รับผลกระทบมากกว่าที่คาดไว้เดิม แต่ที่น่ากังวลกว่าคือการที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีการเพิ่มขอบเขตของสินค้าอีกหรือไม่ (คล้าย scenario ตอนต้นปี 60 ที่มีความกังวลสงครามการค้าในวงกว้าง) เห็นได้ว่านักลงทุนปิดรับความเสี่ยง (risk off) ทันทีหลังวันที่ทรัมป์ให้ข่าว โดยดัชนีหุ้น Dow Jones ลดลงกว่า 1% ดัชนี Shanghai ลดลงเกือบ 4% ส่วนหุ้นไทยลดลงกว่า 2% นอกจากนี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่านักธุรกิจส่งสัญญาณว่าอาจจะชะลอการลงทุนและการจ้างงาน
สำหรับผลกระทบต่อการค้าไทยบจากภาษีระลอกที่ 2 นั้น ต้องจับตามองการส่งออกสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ไปจีน เนื่องจากอยู่ใน supply chain ของสินค้าจีนที่โดนสหรัฐฯ เก็บภาษี 25% ขณะที่การนำเข้าในสินค้าทุนอาจลดลงตามการส่งออกของไทยที่เป็น supply chain ของสินค้าจีนได้รับผลกระทบ เนื่องจากการลงทุนของภาคเอกชนในไทยจะชะลอลง (ซึ่งอาจเป็นบริษัทไทยหรือบริษัทต่างชาติก็ได้) ในขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและสินค้าชั้นกลางที่เกี่ยวข้องก็จะลดลงเช่นกัน นอกจากนี้ ราคาสินค้าวัตถุดิบที่น่าจะปรับตัวลงก็จะทำให้มูลค่าการนำเข้าต่ำลงด้วย
ในทางตรงกันข้าม การนำเข้าสินค้าอาจเพิ่มขึ้นหากจีนซึ่งขายสินค้าไปสหรัฐฯ ได้น้อยลงหันมาทำตลาดในไทย นอกจากนี้ สินค้าจากสหรัฐฯ ก็อาจหันมาทำตลาดในไทยเพิ่มเติมเช่นกัน ซึ่งจะเป็นการแข่งกับผู้ประกอบการในประเทศ โดยอาจเป็นสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบ สินค้าชั้นกลาง หรือสินค้าอุปโภคบริโภคก็ได้
ส่วนดุลการค้าไทยลดลงในระยะหลังเพราะราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้น ไม่ใช่ผลของสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม สงครามการค้า ที่รุนแรงขึ้นจะทำให้ดุลการค้าไทยลดลง จึงเป็นจุดที่ต้องติดตาม