นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เตรียมจัดสัมมนาและลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้ปลูกชา ระหว่างวันที่ 28 – 29 มิถุนายน 2561 ณ จังหวัดเชียงราย เพื่อหารือเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจชาถึงช่องทางการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ ในสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งติดตามการปรับตัวและการใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรี FTA ที่ผ่านมา และเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเสรีสินค้าชาภายใต้ FTA ที่จะเกิดขึ้น
โดยที่ผ่านมา ในปี 2560 ไทยมีผลผลิตชาสดประมาณ 73,211 ตัน เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2559 แบ่งเป็น ชาอัสสัม 64,749 ตัน คิดเป็น 88% ของผลผลิตชาทั้งหมด และชาจีน 8,462 ตัน คิดเป็น 12% ทั้งนี้ ในปีเดียวกัน ไทยยังมีการนำเข้าใบชา 9,237 ตัน จากประเทศจีน (45%) เวียดนาม (22%) เมียนมา (15%) และอินโดนีเซีย (11%) ซึ่งภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ไทยไม่ได้เปิดตลาดสินค้าใบชาให้กับจีน โดยเก็บอัตราภาษีนำเข้าชาจากจีนเท่ากับประเทศสมาชิก WTO คือ อัตราภาษีในโควตา 30% ซึ่งมีปริมาณเปิดตลาดปีละ 625 ตัน เมื่อครบปริมาณแล้วจะต้องเสียภาษีนอกโควตา 90% สำหรับในส่วนของผลิตภัณฑ์ชา ไทยได้ยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าภายใต้ความตกลงดังกล่าวแล้ว ส่วนกลุ่มประเทศอาเซียนได้มีการยกเว้นอากรสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ให้แก่กันแล้ว ยกเว้นเมียนมาที่ยังมีการเก็บภาษีสินค้าชาบางชนิดอยู่ที่ 5%
ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในผลิตภัณฑ์ชา โดยในปี 2560 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ชาเป็นอันดับที่ 4 ของโลก (ตามปริมาณ) รองจากแคนาดา สหรัฐอเมริกา และจีน โดยส่งออกเป็นปริมาณ 10,775 ตัน คิดเป็นมูลค่า 958 ล้านบาท ไปยังเมียนมา (46%) สหรัฐฯ (27%) และสปป.ลาว (7%) ขณะเดียวกันไทยมีแนวโน้มส่งออกใบชาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2560 ไทยส่งออกใบชาเพิ่มขึ้น 49% จากปี 2559 โดยส่งออกเป็นปริมาณ 2,710 ตัน คิดเป็นมูลค่า 436 ล้านบาท ไปยังอินโดนีเซีย (25%) กัมพูชา (19%) และจีน (18%) ซึ่งไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ในการส่งออกสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศดังกล่าวได้ โดยได้รับการยกเว้นการเสียภาษีนำเข้าภายใต้ FTA ยกเว้นสหรัฐฯ ที่ไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ชา แต่ไม่มีการจัดทำ FTA ด้วย
นางอรมน เสริมว่า เนื่องจากชาเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจึงให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์ และติดตามความพร้อมเกษตรกรและผู้ผลิตชาและผลิตภัณฑ์ของไทย ในการเปิดตลาดภายใต้ FTA ต่างๆ จึงมีกำหนดลงพื้นที่ในวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ณ โรงงานและไร่ชาในพื้นที่ ต.แม่สลองนอก ต.แม่สลองใน และ ต.เทิดไทย จ.เชียงราย
รวมทั้งการจัดสัมมนาติดตามความพร้อมแสวงหาประโยชน์และรับมือการค้าเสรีให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมชาตลอดห่วงโซ่มูลค่า ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ปลูกชา โรงงานชา ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออก ในวันที่ 29 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรม คาทิลิยา เมาน์เท่น รีสอร์ท แอนด์สปา จังหวัดเชียงราย ทั้งในส่วนการใช้ประโยชน์และรับมือกับความตกลง FTA ที่ผ่านมา และการเตรียมการรับมือกับความตกลง FTA ไทย – ออสเตรเลีย ที่จะเปิดเสรีชาให้กับออสเตรเลีย ในปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะไม่มีผลกระทบกับผู้ผลิตชาในประเทศ เนื่องจากออสเตรเลียไม่ใช่ประเทศที่ผลิตและส่งออกชามากนัก
นางอรมน กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์เน้นให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่า พัฒนาคุณภาพสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการสัมมนาครั้งนี้ มีวิทยากรจากหลายภาคส่วนร่วมบรรยายแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ด้วย อาทิ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมวิชาการเกษตร สถาบันชา สหกรณ์จังหวัดเชียงราย และภาคเอกชนในพื้นที่
นอกจากนี้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศยังมีแผนจะลงพื้นที่พบปะเกษตรกร เพื่อชี้ช่องทางการใช้ประโยชน์จาก FTA และติดตามความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเสรีในสินค้าอื่นๆ