น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้ (26 มิ.ย.) กระทรวงพาณิชย์จะประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์, เหล็ก, อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพื่อประเมินสถานการณ์และสอบถามผลกระทบที่ภาคเอกชนจะได้รับจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พร้อมเตรียมแผนรับมือ รวมถึงกรณีที่สหรัฐฯประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียมจากทั่วโลก รวมถึงไทย
นอกจากนี้ ยังจะเป็นการเตรียมข้อมูลเพื่อนำไปชี้แจงกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในระหว่างที่จะเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนก.ค.นี้ด้วย
"เป็นการรับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไร ไทยคงไม่ได้รับผลกระทบทางตรง เพราะไม่ใช่เป้าหมายหลักที่สหรัฐฯ ต้องการแก้ไขปัญหาทางการค้าด้วย แต่ไทยจะได้รับผลกระทบทางอ้อม เพราะสินค้าไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิต ทั้งของจีน และสหรัฐฯ" รมช.พาณิชย์ระบุ
สำหรับการเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนก.ค.นี้ จะถือโอกาสย้ำกับ USTR ว่า ไทยทำการค้ากับสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมาและยุติธรรม ไม่ได้เลือกปฏิบัติ ที่สำคัญ ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์กันมายาวนานถึง 200 ปี มีสนธิสัญญาไมตรีระหว่างกัน ที่ให้สิทธินักลงทุนทั้ง 2 ชาติเสมือนคนในชาติ นอกจากนี้ จะร้องขอให้สหรัฐฯ ยกเว้นการเก็บภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียมที่นำเข้าจากไทย ตามมาตรา 232 กฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 จากที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ยกเว้นรายประเทศให้กับไทยไปแล้ว
ขณะที่เรื่องการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐฯ นั้น จะชี้แจงว่า ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำการศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนไทย หากบริโภคเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง ขณะที่สหรัฐฯ ก็ต้องทำการศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนอเมริกันด้วยเช่นกัน
"หากผลพิสูจน์ของไทยออกมาว่า คนไทยกินหมูมีสารเร่งเนื้อแดงแล้วไม่เกิดอันตราย ก็จะพิจารณาเปิดตลาดให้ แต่ขณะนี้ยังเปิดตลาดไม่ได้ เพราะไทยมีกฎหมายห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงปศุสัตว์ และห้ามตกค้างในอาหารโดยเด็ดขาด" รมช.พาณิชย์ระบุ