น.ส.วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ Digital Champions: How industry leaders build integrated operations ecosystems to deliver end-to-end customer solutions ที่จัดทำโดย Strategy& ของ PwC จากการสำรวจผู้บริหารในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตจำนวนทั้งสิ้น 1,155 รายใน 26 ประเทศทั่วโลกเกี่ยวกับมุมมองของการปฏิบัติการด้านดิจิทัลและการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 พบว่า 19% ของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตในทวีปเอเชียถูกจัดให้มีสถานะเป็นผู้ชนะเลิศทางด้านดิจิทัล เปรียบเทียบกับผู้ประกอบการในทวีปอเมริกาที่ 11% และผู้ประกอบการในทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาที่ 5%
สาเหตุสำคัญเป็นเพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในการใช้เทคโนโลยีอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้เป็นจำนวนมาก และยังหันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกันมากขึ้น นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตและผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น ยังเป็นแรงกดดันให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตในเอเชียแปซิฟิกต้องเร่งทำการเปลี่ยนถ่ายระบบการปฏิบัติการไปสู่ดิจิทัลในระดับที่รวดเร็วกว่าที่อื่นๆ ในโลก
รายงานชี้ว่า ขณะที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 กำลังเปลี่ยนถ่ายอุตสาหกรรมการผลิตอย่างรวดเร็ว มีบริษัทเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันจากการปฏิวัติดังกล่าว โดยมีบริษัทผู้ประกอบอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกเพียง 10% เท่านั้นที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ผู้ชนะเลิศทางด้านดิจิทัล ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีมุมมองกว้างไกลและเชื่อในเรื่องของการประยุกต์ใช้นวัตกรรม โดยมองว่า ไม่ใช่แค่เรื่องของระบบอัตโนมัติและการเชื่อมต่อเครือข่ายเท่านั้น
รายงานยังระบุว่า 2 ใน 3 ของบริษัทผู้ประกอบอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกแทบไม่มี หรือยังไม่ได้เริ่มเปลี่ยนถ่ายองค์กรสู่ดิจิทัลในส่วนปฏิบัติการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมกระบวนการ อุตสาหกรรมสินค้าผู้บริโภค และ อุตสาหกรรมการผลิต โดยมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่เป็นแชมป์ทางด้านดิจิทัล
สิ่งที่น่าสนใจไปมากกว่านั้น คือ ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตเครื่องมืออุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ดิจิทัลอยู่ในระดับสูง แต่กลุ่มยานยนต์ (20%) และอิเล็กทรอนิกส์ (14%) จัดว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเด่นที่มีความก้าวหน้าทางด้านดิจิทัลอย่างเห็นได้ชัด โดยบริษัทในกลุ่มยานยนต์มีการพัฒนาในการเพิ่มประสิทธิภาพ มีการใช้ระบบอัตโนมัติ และเชื่อมต่อสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ในขณะที่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เอง ก็อยู่แถวหน้าในเรื่องของการจัดจ้างผลิตจากภายนอก ซึ่งต้องการการเชื่อมต่อและบริหารระบบที่ต่างกัน รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่า
รายงานชี้ว่า ที่ผ่านมา มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้อย่างแพร่หลาย แต่มีเพียงแชมป์ทางด้านดิจิทัลเท่านั้น ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อเชื่อมต่อการทำงานร่วมกันได้อย่างแท้จริงทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่า โดยองค์กรต่างๆ เลือกที่จะใช้วิธีการแบบองค์รวมในการเชื่อมต่อเทคโนโลยีที่จำเป็นทั่วทั้งองค์กรและมีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ แทนที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแบบโดดเดี่ยว นี่จึงช่วยให้พวกเขาสามารถประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดย 16% ของแชมป์ทางด้านดิจิทัลคาดว่า จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า เปรียบเทียบกับผู้ใช้ดิจิทัลหน้าใหม่ (Digital Novices) หรือบริษัทที่มีความสามารถทางด้านดิจิทัลน้อยที่สุดที่ 10%
ทั้งนี้ แชมป์ทางด้านดิจิทัลอย่างน้อย 90% ได้มีการประยุกต์ใช้ เริ่มที่จะนำหรือวางแผนการใช้เทคโนโลยีบางอย่างในปัจจุบันไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (97%) หรือหุ่นยนต์ขั้นสูง (90%) ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผู้ใช้ดิจิทัลหน้าใหม่ที่มีเพียง 1 ใน 3 ที่ใช้เทคโนโลยีการปฏิบัติงานแบบทั่วไป เช่น การคาดคะเนอัตราเสื่อมของเครื่องจักร (39%) และการวางแผนห่วงโซ่อุปทาน (32%)
เมื่อพูดถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ พบว่า 1 ใน 3 ของแชมป์ทางด้านดิจิทัลมีการนำเอไอมาใช้แทนงาน ที่ทำซ้ำๆ และงานที่เกี่ยวกับกระบวนการคิด ขณะที่ 98% ของผู้ใช้ดิจิทัลหน้าใหม่ ไม่ได้มีการใช้เอไอเลย โดยรายงานพบว่า การนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาเท่านั้น และแม้ว่าบริษัทต่างๆ จะเห็นถึงศักยภาพที่สำคัญของเอไอ แต่การนำมาใช้งานจริงยังมีอยู่น้อย
อย่างไรก็ดี 52% ของกลุ่มแชมป์ทางด้านดิจิทัลเองก็ยังระบุว่า พวกเขาขาดทักษะในการใช้ระบบเอไอ และหลายรายยังคงลังเลในการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพราะไม่แน่ใจเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของข้อมูลที่ได้จากระบบเอไอ ทั้งนี้ บริษัทในทวีปเอเชียยังคงเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ โดย 15% ใช้เพื่อช่วยในการแก้ปัญหาสำคัญของเอไอ ขณะที่บริษัทในทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกายังตามหลังอยู่ที่ 5%
รายงานระบุว่า 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ด้านดิจิทัลที่ชัดเจนที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายวัฒนธรรมองค์กรไปสู่ดิจิทัล และมีเพียง 27% เท่านั้นที่เชื่อว่า พนักงานของตนมีคุณสมบัติที่รองรับกับดิจิทัลในอนาคต ในทางตรงกันข้าม แชมป์ทางด้านดิจิทัลมากกว่า 70% บอกว่า ผู้นำองค์กรของตนมีการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป็นแบบอย่างให้กับคนในองค์กรในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล โดยผู้นำที่เป็นแชมป์ทางด้านดิจิทัลเหล่านี้ ยังได้มีการลงทุนอย่างมากในการพัฒนาบุคลากร และฝึกอบรมพนักงานเพื่อส่งเสริมสหสาขาวิชาชีพที่หลากหลายในการใช้นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการทำงานทั่วทั้งองค์กร
น.ส.วิไลพร กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตของไทยมีการนำดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นกว่าในอดีต บางแห่งมีการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในโรงงาน เพื่อลดการพึ่งพาแรงงาน ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่อย่างไรก็ดี เรายังไม่เห็นการเชื่อมโยงดิจิทัลเข้ากับระบบนิเวศภายในองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขาดความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐาน
"การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ของไทยจะประสบความสำเร็จได้ ถ้าหากทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าใจบทบาทของตนเองในการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนและวิจัยเทคโนโลยี รวมถึง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร" น.ส.วิไลพร กล่าว