ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในช่วงไตรมาส 1/61 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 77.6% จากระดับ 78.0% ในไตรมาส 4/60 ขณะที่ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/61 ขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 12.17 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.2% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากเพิ่ม 4.6% YoY ในไตรมาส 4/60 ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยในส่วนของธนาคารพาณิชย์และการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และเช่าซื้อรถยนต์
สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวเป็นตัวเลขสองหลักตามอานิสงส์ของยอดขายรถยนต์ใหม่ และผลจากแรงฉุดจากการชำระคืนสินเชื่อเริ่มลดลง ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในส่วนของสินเชื่อที่ปล่อยผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สอดคล้องไปกับข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่เร่งขึ้นด้วยเช่นกัน
"อาจกล่าวได้ว่า หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นนั้นราวครึ่งหนึ่งเป็นภาระหนี้ที่เกิดขึ้นเพื่อสิทธิความเป็นเจ้าของในทรัพย์สิน เช่น ซื้อบ้าน-ซื้อรถ และขยายธุรกิจ ขณะที่การก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่มีหลักประกันนั้นยังมีสัดส่วนที่ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับภาพรวมของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนทั้งหมด" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
สำหรับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2561 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยอาจชะลอลงมาอยู่ในกรอบ 76.5-77.5% ต่อจีดีพี (ค่ากลางที่ 77.0% ต่อจีดีพี) เทียบกับระดับ 78.0% ต่อจีดีพีในปี 2560 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจ (Nominal GDP) ที่สูงกว่ายอดคงค้างหนี้เป็นปีที่สามติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2561 จะยังเติบโตได้ใกล้เคียง หรือสูงขึ้นกว่าในปี 2560 ที่เติบโต 4.6% เล็กน้อย ซึ่งทำให้ยังคงต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนบางกลุ่มอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในระยะข้างหน้าที่ต้นทุนดอกเบี้ยอาจมีแนวโน้มทยอยเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจในภาพรวมและระดับรายได้ของครัวเรือนหลายๆ กลุ่มจะเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวแล้วก็ตาม ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนล่าสุดในปี 2560 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่า ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 1.78 แสนบาท เทียบกับประมาณ 1.56 แสนบาทในปี 2558