นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานร่วมกับนายซาเยด บิน ราชิด อัล ซายานี รมว.อุตสาหกรรม การค้าและการท่องเที่ยวของบาห์เรน ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการร่วม (Joint Steeing Committee: JSC) ระหว่างไทยกับบาห์เรน ด้านความมั่งคงทางอาหาร การค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์และโภคภัณฑ์การเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาลว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความสำคัญในเรื่องการสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ อันเป็นประเด็นท้าทายระดับโลก
ทั้งนี้ ไทยแสดงถึงความสามารถและความพร้อมในการเป็นแหล่งจัดหาผลิตภัณฑ์การเกษตรและอาหารฮาลาลให้แก่บาห์เรนตามนโยบาย "ครัวไทยสู่ครัวโลก" ของรัฐบาล โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ไทยมีศักยภาพในการผลิต และบาห์เรนมีความต้องการนำเข้าจากไทย ได้แก่ ข้าว ซึ่งปัจจุบันบาห์เรนนำเข้าจากไทยประมาณ 3,400 ตัน เกือบทั้งหมดเป็นข้าวหอมมะลิ จึงต้องการผลักดันข้าวชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม โดยในการประชุมครั้งนี้ได้นำเสนอข้าวเจ๊กเชยเสาให้ ข้าวพิษณุโลก 80 ข้าวพันธุ์ กข 29 หรือ ชัยนาท 80 ซึ่งเป็นข้าวพื้นแข็งคล้ายพันธุ์บาสมาติที่ชาวบาห์เรนนิยมรับประทาน พร้อมทั้งได้นำข้าวพันธุ์ดังกล่าวทำข้าวหมกไก่ (Biryani) เสิร์ฟให้แก่คณะบาห์เรนรับประทานเพื่อส่งเสริมความนิยมข้าวและไก่ไทย นอกจากนั้น ยังมีสินค้าน้ำตาล น้ำมันพืช อาหารกระป๋อง ซึ่งเป็นสินค้าเป้าหมายตามเจตนารมณ์ด้านความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงผักและผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ถั่วฟักยาว แอสพารากัส สับปะรด ลำไย ส้มโอ มะม่วง มะขามหวาน มังคุด และทุเรียน
นอกจากนี้ ไทยได้เสนอให้บาห์เรนพิจารณาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (Mutual Recognition Agreement: MRA) ด้านมาตรฐานสินค้าฮาลาล ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันในอุตสาหกรรมฮาลาล
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้ใช้โอกาสนี้หารือประเด็นเศรษฐกิจอื่นๆ กับบาห์เรน อาทิ การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้แทนการค้าและคณะนักธุรกิจ การจัดตั้งศูนย์การค้าปลีกสินค้าและบริการของไทยในบาห์เรน การส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมยางพารา การเชิญชวนบาห์เรนเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึง Rubber City
นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ได้มีการจัดงานสัมมนา "โอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทยในบาห์เรน" เพื่อเผยแพร่ศักยภาพของบาห์เรนให้เป็นที่รู้จักของนักธุรกิจไทยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจัดแสดงสินค้าฮาลาลของไทยที่มีศักยภาพในบาห์เรนและตะวันออกกลาง ได้แก่ ข้าวพันธุ์ต่างๆ สับปะรด ผลิตภัณฑ์ยางพารา เช่น หมอนและที่นอนยางพารา พรมละหมาด เป็นต้น และน้ำหอมไม้กฤษณา เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าฮาลาลของไทยในตลาดบาห์เรน ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะผู้บริโภคในประเทศ แต่รวมถึงนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาในบาห์เรนปีละกว่า 11 ล้านคนต่อปี เนื่องจากบาห์เรนเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 54 ล้านคน และยังเป็นประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ในปี 2560 บาห์เรนเป็นคู่ค้าลำดับที่ 65 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับ 9 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยการค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 290.12 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 21.70 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปบาห์เรนเป็นมูลค่า 155.91 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากบาห์เรนเป็นมูลค่า 134.21 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2561 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 105.26 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 8.81% เมื่อพิจารณาศักยภาพการค้าของสองฝ่ายแล้ว มูลค่าการค้าระหว่างกันยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก
โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ เครื่องซักผ้าและอบแห้ง เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์พลาสติก ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญจากบาห์เรน ได้แก่ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูป และกึ่งสำเร็จรูป เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ