รายงานข่าวทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้างบริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และบี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ ด้านการเงินและด้านกฎหมายตามที่คณะกรรมการตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมการลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ คค.
ด้านนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการประกอบการท่าเทียบเรือ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ ท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และ บี 4 ซึ่ง การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้เสนอคณะกรรมการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการประกอบการท่าเทียบเรือ ทั้ง 4 แห่งตามนัยมาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 แล้ว
โดยพิจารณาจากความเหมาะสมทางด้านการเงิน ด้านกฎหมาย ประโยชน์ของ กทท. และความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะและผลกระทบต่อประชาชน ได้แนวทางที่เหมาะสมที่สุด โดยการให้สัญญาท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และสัญญาท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และ บี 4 มีผลบังคับใช้ต่อไปจนสิ้นสุดสัญญา (30 เมษายน 2564, 31 มีนาคม 2563 ,31 ธันวาคม 2563 และ 31 ธันวาคม 2563 ตามลำดับ) เนื่องจากในทางด้านการเงินการให้เอกชนคู่สัญญารายเดิมประกอบการท่าเทียบเรือจนสิ้นสุดสัญญาจะทำให้ภาครัฐได้รับผลประโยชน์ตอบแทนตลอดอายุสัญญาสูงกว่าที่ กทท. กำหนดไว้
ส่วนในทางด้านกฎหมาย สัญญาโครงการที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานของสัญญาร่วมลงทุนและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและ กทท. ประกอบกับสัญญาร่วมลงทุนทั้ง 4 โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดภายใน 5 ปี โดย กทท. จะต้องจัดทำแนวทางการดำเนินกิจการของรัฐภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลง ตามนัยมาตรา 48 แห่ง พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ดังนั้น หากมีการยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินการดังกล่าว ตลอดจนอาจมีความเสี่ยงเกี่ยวกับความล่าช้า และความต่อเนื่องในการให้บริการท่าเทียบเรือ หรือกิจการที่เกี่ยวข้องได้
ทั้งนี้ ทลฉ.มีโครงการบริหารท่าเทียบเรือจำนวน 10 โครงการ ซึ่ง ครม.เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2553 ให้กระทรวงฯและ กทท. ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนในการดำเนินโครงการ กรณีที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท ตามกฎหมายและพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และต่อมามีการยกเลิกพ.ร.บ.ร่วมทุนฯปี 35 และให้ใช้พ.ร.บ.ร่วมทุนฯปี 2556 แทน โดยมาตรา 72 บัญญัติให้ดำเนินการ ซึ่งพบว่า มี7 โครงการที่ มูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท โดยพิจารณาแล้วเสร็จ 4 โครงการ ส่วนอีก 3 โครงการ อยู่ระหว่างการพิจารณา ตามมาตรา 72
นอกจากนี้ ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รายงานต่อครม.ถึงผลการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีโครงการของกระทรวงคมนาคม 2 โครงการผ่านการอนุมัติ EIA แล้ว ได้แก่ โครงการทางด่วนสายกะทู้ –ป่าตอง ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และโครงการต่อขยายทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ช่วง ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ของกรมทางหลวง โดยหลังจากนี้จะดำเนินการตามขั้นตอนและประกวดราคา ก่อสร้างได้ในปี 2562