พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันว่าการลงพื้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ไม่ได้เป็นการมารับข้อเสนอจากฝ่ายใด หลังจากมีรายงานว่าอดีตนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเข้าพบนายกรัฐมนตรีวานนี้และระบุว่าจะเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐ
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า การลงพื้นที่ภาคอึสานครั้งนี้เพื่อมารับฟังข้อมูลและความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนโดยตรง ซึ่งการอนุมัติงบประมาณในโครงการต่างๆ ก็เป็นไปตามระเบียบขั้นตอนปกติ โดยจะต้องมีความเหมาะสม และเป็นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
"อยากเรียนว่า ที่มาครั้งนี้ไม่ได้รับข้อเสนอของใคร ผมมาฟังประชาชน เพราะฉะนั้นการสื่อสารสองทางเป็นสิ่งสำคัญ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การพบปะกับบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือไม่ ตนยินดีพบกับทุกคน และสิ่งที่ตนเองพยายามถ่ายทอดและสื่อสารออกไปนั้นสำหรับการทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องการสิ่งใดนอกเหนือจากอยากเห็นประเทศชาติมีความสงบสุข ซึ่งจะต้องไม่ให้ปัญหาที่มีมานานนั้นเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต และไม่อยากให้บางฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์จนเกิดความเสียหาย เพราะเรื่องไหนที่ทำแล้วยังไม่สมบูรณ์ก็ปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น และหลายอย่างต้องมีการประเมินผล แต่ไม่ใช่ทั้งหมดจะเป็นการจ้องจับผิดในการดำเนินโครงการหรือการอนุมัติงบประมาณเพื่อโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เนื่องจากการอนุมัติงบประมาณให้กับจังหวัดต่างๆ พิจารณาความเหมาะสมแล้ว ดังนั้นจึงขออย่าเอาตนเองไปขัดแย้งกับใคร ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือกลุ่มใดก็ตาม
"เรื่องพบปะนักการเมืองหรือไม่ใช่นักการเมือง ผมยินดีพบทุกคนไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ได้มีปัญหาจนพบไม่ได้ ผมอยากพูดให้ทุกคนเข้าใจ ผมไม่ได้ต้องการอะไร ที่มาทำหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้ต้องการอะไรเลย ต้องการให้ชาติสงบสุข เพราะฉะนั้นอย่าเอาผมไปขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองใครก็แล้วแต่" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนว่า รัฐบาลไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนหรือคนในระดับบนเท่านั้น รัฐบาลจำเป็นต้องดูแลทุกภาคส่วนในประเทศ ทั้งในส่วนของภาคธุรกิจที่ต้องทำให้ต่างประเทศเกิดความมั่นใจในศักยภาพของไทยด้านเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เกิดรายได้และนำมาซึ่งภาษีที่ได้จะนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ต้องทำให้ประชาชนรู้ว่าการทำงานของรัฐบาลตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ประชาชนได้ประโยชน์ในเรื่องใดบ้าง สิ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของการดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อหาได้
สำหรับการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ที่มีขึ้นก่อนการประชุม ครม.วันนี้นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการหารือข้อเสนอแผนงานโครงการต่างๆ หลายด้าน โดยหลักจะเป็นด้านโลจิสติกส์ การคมนาคมขนส่ง ทั้งโครงการรถไฟทางคู่ การเพิ่มเส้นทางรถไฟ รวมถึงข้อเสนอโครงการบริหารจัดการน้ำ เช่น โครงการแก้มลิง แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และได้สั่งการเพิ่มเติมในเรื่องของการขุดลอกคูคลองธรรมชาติที่มีอยู่เดิม นอกเหนือจากการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ เพื่อช่วยกระจายน้ำให้ทั่วถึงภายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นอกจากนี้ ยังมีโครงการเพื่อผลักดันให้กลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนล่าง 2 มีการยกระดับการทำเกษตรแบบปลอดภัยไปสู่การทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างอาชีพรายได้ที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกร โดยจะต้องมีการดำเนินการบริหารจัดการที่ดินทำกินอย่างเหมาะสม และต้องให้ผู้ที่อยู่ในภาคเกษตรที่ยังไม่มีที่ดินทำกินเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ด้วยการเป็นผู้ทำหน้าที่ขนส่ง หรือการทำการค้าขาย เพราะรัฐบาลคงไม่สามารถจัดหาที่ดินทำกินได้เพียงอย่างเดียว
ขณะเดียวกันจะมีการพิจารณาข้อเสนอเพื่อขอจัดตั้งโรงงานเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร เช่น โรงงานผลิตเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม เป็นต้น ขณะเดียวกันรัฐบาลก็จะพิจารณาการเสนอขอขยายโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์เพื่อให้บริการประชาชนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังมีโครงการขยายท่าอากาศยานจังหวัดอุบลราชธานี และพัฒนาสนามบินเลิงนกทา จังหวัดยโสธร พร้อมทั้งจะผลักดันให้พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยเน้นการเดินทางมาพักผ่อนเพื่อดูแลสุขภาพ ตลอดจนการผลักดันให้กลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนล่าง 2 เป็นแหล่งการค้าชายแดนที่สำคัญ