นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 61 เพิ่มเป็นขยายตัว 4.7% จากเดิม 4% หลังจากไตรมาส 1/61 เศรษฐกิจขยายตัวได้สูงถึง 4.8% ขณะที่มองว่าไตรมาส 2/61 เศรษฐกิจจะยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่อาจจะชะลอลงจากต้นปีบ้าง โดยปัจจัยหนุนหลักยังคงมาจากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี และเริ่มเห็นการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวได้มากขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง เช่นเดียวกับการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะเห็นโครงการต่างๆออกมามากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนด้านระบบคมนามคมขนส่ง หลังจากภาครัฐทยอยเปิดขายซองประมูลบางโครงการไปแล้ว อีกทั้งการผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้ขยายตัวและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามามากขึ้น
นอกจากนั้น ยังคาดว่ากำลังซื้อของประชาชนในครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคเกษตรกร ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลของสินค้าเกษตรสำคัญ จากปัจจุบันกำลังซื้อที่มีการขยายตัวได้ดียังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ประจำ หรือกลุ่มผู้มีเงินเดือนที่มีการจับจ่ายเพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นส่งผลให้ประชาชนเกิดความมั่นใจและมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าเมื่อเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาต่อเนื่อง สิ่งที่จะตามมาคืออัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินด้วยการใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเกินไปจะทำให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว
นายสมประวิณ กล่าวว่า หากเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไปถึงกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ก็อาจนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่คงต้องเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฉพาะกลุ่ม เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงมีความเปราะบาง และประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหาทางโครงสร้างที่ส่งผลต่อขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และการพัฒนาประเทศในระยะยาว เช่น การเข้าสู่สังคมสูงอายุ และประสิทธิภาพของแรงงานที่อยู่ไนระดับต่ำ ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไม่เต็มศักยภาพเหมือนอย่างในอดีตเมื่อ 15 ปีก่อนที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึง 5.3%