(เพิ่มเติม1) EXIM BANK คาดส่งออกปีนี้โต 7-9% เหตุศก.โลก-ราคาน้ำมันหนุน แต่จับตามาตรการกีดกันการค้า-ค่าเงิน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday July 25, 2018 15:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ประเมินว่า การส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ราว 7-9% ภายใต้สมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทย (GDP) จะเติบโตที่ระดับ 4.5%โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1.เศรษฐกิจโลกขยายตัวดี โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาและตลาดใหม่ เช่น ตลาดอินเดีย โต 24.2% ตลาด CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) โต 8.5% ตลาดแอฟริกา โต 11.2% และตลาดจีน โต 4.1% เป็นต้น 2. ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในระดับสูง ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และ 3. ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกยังขยายฐานการผลิตสินค้าในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ 1. มาตรการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ปัจจุบันสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 25% คิดเป็นมูลค่าราว 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีกในระยะถัดไป ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกไทยไม่มากก็น้อย 2. ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนจากนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจที่ไม่สอดคล้องกัน ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเคลื่อนไหวรวดเร็วและรุนแรงขึ้น และ 3. ความขัดแย้งในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งภายในตะวันออกกลาง ความขัดแย้งภายในประเทศสเปน รวมทั้งภัยธรรมชาติ ทั้งพายุ น้ำท่วม และแผ่นดินไหว ที่มีแนวโน้มเกิดบ่อยครั้งขึ้น

"การส่งออกในครึ่งหลังของปี 2561 มีแนวโน้มโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 127,387-132,120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากครึ่งแรกที่มีมูลค่า 125,812 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มูลค่าส่งออกทั้งปี 2561 อยู่ที่ราว 253,199-257,932 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัวราว 7-9%" นายพิศิษฐ์ กล่าว

นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ในปี 2561 ค่าเงินทรงตัวอยู่ที่ระดับ 33-34 บาท/ดอลลาร์ ผันผวน 4-5% จากปีที่ผ่านมา โดยในช่วงปลายปี 2560 เงินบาทแข็งค่ามาที่ 32 บาท/ดอลลาร์ จากต้นปีอยู่ที่ระดับ 34-35 บาท/ดอลลาร์ และคาดว่าสิ้นปีนี้ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.5-34 บาท/ดอลลาร์

"ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ควรมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ไม่ควรเก็งกำไร รวมถึงการทำประกันภัยการส่งออกกับ EXIM BANK ซึ่งอาจจะทำให้กำไรลดลง 1% แต่การส่งออกปลอดภัยจากความเสียหาย" นายพิศิษฐ์กล่าว

พร้อมระบุว่า EXIM BANK มีนโยบายจะส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หรือการลงทุนของผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐบาลมีนโยบายและให้สิทธิพิเศษแก่นักลงทุน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดย EXIM BANK มีสินเชื่อครบวงจรเพื่อส่งเสริมการลงทุนในโซนพิเศษ การลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ การพัฒนาพลังงานที่สะอาด พาณิชยนาวี และสินเชื่อโครงการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีช่องทางการส่งออกเพิ่มมากขึ้น และไม่ต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในประเทศตลาดใหม่

ขณะเดียวกัน EXIM BANK พร้อมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และต้องการสินค้าไทย เช่น CLMV ซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างเห็นได้ชัด สัดส่วน GDP ของตลาดใหม่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2540 เป็น 40% ในปัจจุบัน ขณะที่สัดส่วนการค้าระหว่างประเทศพัฒนาแล้วด้วยกันลดลงจาก 63% ในช่วงปี 2533-2537 เหลือเพียง 38% ในปัจจุบัน ขณะที่การค้าระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา และการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน เพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 2533-2537 เป็น 62% ในปัจจุบัน

"ผู้ประกอบการไทยจึงควรหันมาบุกตลาดใหม่ ซึ่งมีเสน่ห์ในหลายมิติและตลาดยังไม่อิ่มตัว คู่แข่งไม่มาก มีจำนวนประชากรมากและส่วนใหญ่มีอายุน้อย ขณะที่ผู้บริโภคชั้นกลางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น EXIM BANK จึงพัฒนาบริการใหม่ๆ ที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs มีศักยภาพ กำลังการผลิต เงินทุนหมุนเวียน และความพร้อมในด้านอื่นๆ ที่จะเจาะตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ส่งออกได้เพิ่มขึ้น และได้รับการชำระเงินแน่นอนจากผู้ซื้อในต่างประเทศ" กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ระบุ

นายพิศิษฐ์ ยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 (ม.ค.-มิ.ย.) ว่า EXIM BANK มีกำไรสุทธิ 754 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างจำนวน 96,477 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11,087 ล้านบาท หรือ 12.98% แบ่งเป็น สินเชื่อเพื่อการค้า 31,538 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 64,939 ล้านบาท ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 85,999 ล้านบาท โดย EXIM BANK ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีศักยภาพให้แข่งขันได้มากขึ้นทั้งทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ มีปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 49,241 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs เท่ากับ 32,968 ล้านบาท

อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 3.39% ลดลง 0.22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 3,274 ล้านบาท และมีเงินสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 8,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 759 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2560 โดยเป็นสำรองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 3,912 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสำรองที่กันไว้แล้วต่อสำรองหนี้พึงกัน 222.61% ทำให้ธนาคารยังคงดำรงฐานะการเงินที่มั่นคง

ขณะที่ในไตรมาส 2/61 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุน 44,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,777 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 8,012 ล้านบาท เป็นธุรกิจส่งออกของ SMEs หรือ 18.15% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม

สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ปัจจุบัน EXIM BANK มีวงเงินที่ให้การสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 68,497 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2561 จำนวน 38,308 ล้านบาท อีกทั้ง EXIM BANK ยังมุ่งเน้นการขยายฐานการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่ CLMV ซึ่งมียอดคงค้างเงินให้สินเชื่อ 29,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2560 เท่ากับ 1,182 ล้านบาท โดยในปี 2560 EXIM BANK ได้เปิดสำนักงานผู้แทนในเมืองย่างกุ้ง เมียนมา และเปิดสำนักงานผู้แทนในเวียงจันทน์ในปีนี้ และกัมพูชาในปี 2562


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ