พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานมอบนโยบายและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "โครงการประชารัฐสวัสดิการกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก" พร้อมเปิดตัวโครงการร้านค้าโทรศัพท์มือถือรับชำระสินค้าจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นโครงการลดค่าครองชีพเพิ่มเติมจากเฟสแรก ผ่านแอพพลิเคชั่น "ถุงเงินประชารัฐ" ว่า โครงการนี้คืบหน้าไปมาก และวันนี้ก้าวสู่ขั้นที่สองในการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะการใช้งบประมาณเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ถึงแม้จะช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ทุกคน แต่สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้ถึง 11 ล้านคน
ที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวได้ดำเนินการในขั้นที่ 1 ซึ่งต้องดึงผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีสินค้าจำเป็นเข้ามาร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อจำหน่ายสินค้าหลากหลายให้กับประชาชน โดยรัฐบาลไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับใครตามที่มีการกล่าวหา และขอเตือนนักการเมืองว่าการหาเสียงครั้งต่อไป ต้องระมัดระวังเรื่องว่าจะให้ เพราะอาจจะผิด พ.ร.บ.งบประมาณใหม่ ที่มีหลักเกณฑ์วางไว้ป้องกันการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายงบประมาณที่เกินตัว หรือใช้เพื่อหวังผลทางการเมือง หรือเพื่อการรักษาอำนาจไว้
"รัฐบาลนี้จะระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณเกินตัวแต่ทำเพื่อประชาชน รวมทั้งขอให้ประชาชนระมัดระวังที่จะเชื่อใครที่สัญญาว่าจะให้ และขอให้เชื่อในสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการโครงการต่างๆ และรับฟังข้อมูลอย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะการรับข้อมูลทางโซเซียลที่มีข้อความสั้นๆ ซึ่งบางครั้งก็เข้าใจ แต่บางครั้งก็อาจสร้างความแตกแยกได้"
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ต้องการที่จะเก็บภาษีจากประชาชนเป็นหลัก แต่รัฐบาลต้องการยกระดับรายได้ให้กับประชาชนทุกคน แต่เมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีก็ขอให้ทุกคนได้ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการเสียภาษี เพื่อนำไปพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งฝากให้ผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนวันนี้ต้องเข้มแข็ง สร้างความร่วมมือเดินไปพร้อมกับรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามที่จะสร้างการพัฒนาเข้าไปทุกพื้นที่ ล่าสุด ครม.อนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียง แม้ต้องใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านบาท รัฐบาลก็จะบริหารจัดการการใช้งบประมาณให้ได้
"ตั้งแต่ตนเองเข้ามาทำหน้าที่ ไม่เคยสั่งหน่วยงานใดให้ไปทำร้ายหรือลงโทษใคร ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ขณะที่รัฐบาลดำเนินการทุกอย่างอย่างระมัดระวัง จึงขอฝากฝ่ายการเมืองให้มีความระมัดระวังในการดำเนินการเรื่องต่างๆ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้พูดเรื่องการเมือง แต่พูดถึงเรื่องของประเทศที่จะต้องเดินไปอีก 20 ปีข้างหน้าเพื่ออนาคตลูกหลาน พร้อมทั้ง ยืนยันว่า ตนเองเข้ามาทำหน้าที่ไม่มีการเรียกรับประโยชน์จากใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งครอบครัวก็ไม่มีสิทธิพิเศษใด จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในเรื่องเหล่านี้" นายกฯ ระบุ
อนึ่ง การจัดงานครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมงานทั้งผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ ผู้ผลิตสินค้าชุมชน ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ศูนย์กระจายสินค้า สถาบันการศึกษา ประมาณ 3,000 คน และยังมีการจัดแสดงร้านค้าธงฟ้าประชารัฐต้นแบบ การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าชุมชนจาก 76 จังหวัด การสาธิตการใช้งานเครื่องรูดบัตร EDC การรับชำระค่าสินค้าผ่านมือถือ การจัดเสวนาการใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ระยะแรกกระทรวงฯได้ลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้ถือบัตร 11.43 ล้านคน โดยให้สามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ได้ติดตั้งเครื่อง EDC จำนวน 38,000 ร้าน แต่พบว่ามีร้านค้าต้องการเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก และผู้ถือบัตรก็ต้องการให้มีร้านค้ากระจายมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการเปิดโครงการถุงเงินประชารัฐ โดยได้เปิดโอกาสให้ร้านค้าเกือบทุกประเภท ทั้งร้านค้าย่อย ร้านโชห่วย แผงค้าในตลาดสด ร้านจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ ร้านหนูณิชย์ ที่ขายอาหารปรุงสำเร็จในราคาเป็นะรรม ผู้ค้าในตลาดต้องชม ตลาดกลางสินค้าเกษตร ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน รถยนต์เร่ขายสินค้า เป็นต้น สามารถเข้าร่วมโครงการได้ มีเป้าหมายเพิ่มร้านค้าอีก 100,000-200,000 ราย ล่าสุดมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 20,000 ราย
"มั่นใจว่าโครงการนี้ จะทำให้ร้านโชห่วย ผู้ค้ารายย่อย สามารถพัฒนาตนเองให้อยู่รอด มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และเป็นการกระจายความเจริญเติบโตเข้าสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญของประเทศได้"รมว.พาณิชย์ กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังได้สร้างความเข้มแข็งให้กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐให้สามารถแข่งขันได้และเป็นร้านค้ามืออาชีพ โดยได้ประสานผู้ผลิตรายย่อย ผู้ผลิตสินค้าชุมชน ผู้ผลิตสินค้าเกษตรจากแต่ละภาค ให้เชื่อมโยงทั้งภายในภาค และระหว่างภาคผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยที่ผ่านมา ได้เชื่อมโยงสินค้าชุมชนผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐแล้ว เช่น กะปิ น้ำปลา ปลากรอบ ลำไย สับปะรด ซึ่งกะปิจากจังหวัดระนองมียอดจำหน่ายกว่า 700,000 บาท ภายในวันเดียว
ขณะเดียวกัน ยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่แต่ละจังหวัด ยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยจัดอบรมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยหลักสูตรการอบรมเบื้องต้น คือ เรื่องภาษี การบริหารจัดการร้านค้า การปรับภาพลักษณ์ร้านค้า การจัดการสินค้าคงคลัง เทคนิคการขาย การส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขาย เป็นต้น เพื่อพัฒนาให้ร้านค้าเหล่านี้เป็นมืออาชีพ