สมาคมฯ คาดตลาดรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ปีนี้โตแตะ 7 แสนลบ.จากปีก่อน 6 แสนลบ.ตามการขยายตัว ศก.

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 1, 2018 17:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยในงานแถลงข่าว "อภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018" ว่า สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ตั้งเป้ามูลค่าการขายที่อยู่อาศัยภายในงานปีนี้จะเติบโตมากกว่า 1 พันล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 500 ล้านบาท และมียอดการปล่อยสินเชื่อภายในงานปีนี้เติบโตมากกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ จากการประเมินภาพรวมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้ คาดว่ายอดสินเชื่อปล่อยใหม่จะเติบโตแตะ 7 แสนล้านบาท จากปี 60 อยู่ที่ 6 แสนล้านบาท โดยในไตรมาสแรกมียอดสินเชื่อปล่อยใหม่แล้ว 1.5 แสนล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับ GDP เพิ่มขึ้นในปีนี้และปีหน้าจากการส่งออกและธุรกิจท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้น ประกอบกับรัฐบาลยังมีการเร่งรัดการลงทุนด้านสาธารณูปโภคเพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้ความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัยเติบโตดีกว่าปีก่อน

ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 7-10% จากปีก่อนที่มีการขยายตัวอยู่ที่ 6.8% อย่างไรก็ตามส่งผลทำให้ยอดสินเชื่อรวมทั้งหมดปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 3.7 ล้านล้านบาท โดยไตรมาส 1/61 เติบโตอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาทแล้ว

สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์ในภาพรวมปรับตัวลดลง โดยปัจจุบันอยู่ที่ 2% จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับมากกว่า 4% เป็นผลมาจากการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพมากขึ้น และการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารต่างๆ สามารถทำได้ดีขึ้น

นายกิตติ กล่าวว่า สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัยเตรียมประชุมกับคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ หลังจากที่ได้มีการเสนอโครงการออมก่อนกู้ (Saving Bonus) ภายในเดือนก.ย.นี้ ซึ่งเบื้องต้นจะเป็นการเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการออมเงินดาวน์ก่อนกู้ซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากปกติแล้วการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะต้องมีการวางเงินดาวน์ประมาณ 20% ของวงเงินกู้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากลูกค้ามีการออมเงินดาวน์ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะได้รับโบนัสสนับสนุนจากทางรัฐบาล เพื่อที่จะสามารถลดปัญหาการเกิด NPL ในอนาคต

นายอลงกต บุญมาสุข เลขาธิการสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย และผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารพันธมิตรและส่งเสริมการตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลังนี้ น่าจะมีอัตราการเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก จากครึ่งปีแรกที่มียอดปล่อยสินเชื่อคิดเป็น 40% ของมูลค่ารวมทั้งปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการขยายการคมนาคมในเส้นทางต่างๆ รวมถึงการจัดงานบ้านและคอนโดมิเนียมฯ ล้วนแต่เป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดันการเติบโตของสินเชื่อที่อยู่อาศัย คาดว่าในปีนี้จะเติบโตราว 5.5-6% โดยมีสัดส่วนมาจากบ้านใหม่ บ้านมือสอง และบ้านรีไฟแนนซ์

"เราคาดการณ์ว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้จะมีการเติบโต 5.5-6% ก็คงต้องดูว่าในครึ่งปีหลังนี้ ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นๆ เข้ามากระทบ ก็เชื่อว่าการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก" นายอลงกตกล่าว

ทั้งนี้ ภาพรวมการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ปัจจุบันมีนโยบายการอนุมัติสินเชื่อ เพื่อให้ได้ลูกที่มีคุณภาพมากขึ้น ส่วนการปฎิเสธสินเชื่อก็มีการปรับตัวที่ดีขึ้น ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดว่าไม่น่าจะขยับเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว เนื่องจากแต่ละสถาบันการเงินมีการจัดทำหรือมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อกลุ่มลูกค้าชัดเจน และการจับมือกับทางพันธมิตรผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับเครื่องมือในการพิจารณาสินเชื่อมีการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลที่จะนำมาพิจารณาในการอนุมัติสินเชื่อ

ด้านนายสหรัตน์ เพ็ญกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายบ้านมือสอง ปี 61 จะเติบโต 5% เป็น 3.2 พันล้านบาท จากครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายได้แล้วราว 20% โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้ก็น่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากบ้านมือสองยังมีความต้องการสูง โดยเฉพาะทำเลในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง อยู่ตามแนวรถไฟฟ้า เช่น ย่านสุขุมวิท และรัชดาภิเษก เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ายังมีความต้องการของชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ค่อนข้างมาก

ขณะเดียวกันด้านภาคตะวันออกก็มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะทรัพย์สินที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น อาคาร ที่ดินเปล่า โรงแรม เป็นต้น โดยบริษัทฯ ก็มีกลยุทธ์กระตุ้นยอดขาย จากการจัดแคมเปญต่างๆ ทั้งโปรโมชั่นลดราคา และการโปรโมทเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีแผนขยายการขายทรัพย์สินประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และตึกแถวในพื้นที่ภาคตะวันออกให้มากขึ้น และมองโอกาสขยายไปสู่ภาคอีสานอีกด้วย เนื่องจากเริ่มเห็นดีมานด์ในพื้นที่ดังกล่าวจากการขยายการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะการคมนาคม ระบบโลจิสติกส์ต่างๆ นอกจากนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ มาจากการขายทรัพย์สินโดยตรงแก่ผู้อยู่อาศัย คิดเป็น 50% และขายให้กับกลุ่มผู้รับเหมา เพื่อนำไปขายต่ออีก 50%

"เรามองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์บ้านเราในปี ถึง 2 ปีนี้ น่าจะเติบโตไปได้ จากราคาที่ดินของไทยยังถูกกว่าต่างประเทศ ซึ่งต่างประเทศแพงกว่า 2 เท่าตัว โดยปีหน้าก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ จากมีเม็ดเงินการลงทุนภาครัฐออกมาชัดเจนมากขึ้น ก็น่าจะทำให้เงินสะพัดในระบบมากขึ้นตามไปด้วย" นายสหรัตน์กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ