นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงทิศทางการส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 561 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 5.5% คิดเป็นมูลค่าราว 129,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ทั้งปีนี้คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 7.3-8.9% หรือเฉลี่ย 8.1% คิดเป็นมูลค่าราว 255,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้ารวมไว้แล้ว
"ตัวเลขส่งออกทั้งปีที่ 8.1% ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูง แต่การขยายตัวก็ยังชะลอลงจากปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 9.9% ส่วนส่งออกครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัว 5.5% ชะลอตัวจากครึ่งปีแรกซึ่งอยู่ที่ 11%" นายอัทธ์ ระบุ
ทั้งนี้ การประเมินแนวโน้มการส่งออกของไทยดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจโลกจากการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 3.5% ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการส่งออกไทยปีนี้ คือ 1.เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโต แม้บางประเทศจะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าปี 60 เช่น จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป 2.สหรัฐฯ ต่ออายุการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) แก่สินค้าไทย โดยมีผลตั้งแต่ 22 เม.ย.61 ส่งผลให้ครึ่งปีหลังมีโอกาสส่งออกได้มากกว่าครึ่งปีแรกที่เสียภาษีในอัตราปกติ และ 3.เงินบาทในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่การส่งออกไทยยังมีปัจจัยลบสำคัญ คือ 1.ผลกระทบจากสงครามการค้าที่เริ่มส่งผลในช่วงครึ่งปีหลัง 2.ค่าเงินของหลายประเทศมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ 3.ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตให้เพิ่มขึ้น และ 4.ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรมีโอกาสลดลง
นายอัทธ์ กล่าวว่า ยังคงมีประเด็นที่ต้องติดตามซึ่งอาจจะมีผลต่อการส่งออกของไทยในระยะต่อไป คือ ประเด็นของสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, แผนการปรับขึ้นภาษีรถยนต์ของสหรัฐฯ, ประเทศต่างๆ ในโลกต่างก็มีมูลค่าการส่งออกที่สูงขึ้นเช่นเดียวกับไทย, ส่วนแบ่งตลาดสินค้าไทยในตลาดโลกลดลง, ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของไทย และปัญหาที่อิหร่านต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าต่อการส่งออกไทยไว้ โดยคาดว่าจะทำให้การส่งออกของไทยปีนี้ได้รับผลกระทบประมาณ 350-600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 0.14-0.23% และกระทบต่อ GDP ของไทยในปีนี้ให้ลดลง 0.12-0.21% แต่หากเป็นกรณีร้ายแรงสุด คาดว่าการส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบประมาณ 2,800 ล้านดอลลาร์ ลดลง 1.13% และกระทบต่อ GDP ของไทยปีนี้ให้ลดลงประมาณ 1.02% แต่เชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดกรณีร้ายแรงสุดนี้เป็นไปได้น้อยมาก