ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ต่อเนื่องในปี 61 จากแนวโน้มค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั้งปีที่จะยังอยู่ในระดับล่างของกรอบเป้าหมาย โดยอีไอซีมองว่าทั้งอัตราการเพิ่มของราคาน้ำมันในกรณีฐานมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่ดัชนีราคาอาหารสดในช่วง 7 เดือนแรกของปีหดตัวราว 0.8%YOY และในช่วงที่เหลือของปียังมีแนวโน้มถูกกดดันจากปริมาณผลผลิตที่ยังสามารถออกสู่ตลาดได้มากตามสภาวะอากาศที่เอื้ออำนวย
ด้วยเหตุนี้ อีไอซีจึงมองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปีจะมีแนวโน้มชะลอลงกลับมาอยู่ใกล้กรอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ทำให้ กนง.ยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนให้แรงกดดันราคาด้านอุปสงค์สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ภายในกรอบเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน
พร้อมมองว่า กนง.น่าจะรอประเมินภาพเศรษฐกิจที่แม้จะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มเติมจากสงครามการค้าที่อาจกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวที่อาจต่ำกว่าคาดจากเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต
อีไอซี มองว่า จะต้องติดตามการสื่อสารความกังวลของ กนง. ต่อประเด็นปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งจะมีนัยต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ที่ผ่านมา กนง.ได้แสดงความกังวลต่อปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ของ SME ที่ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งแม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการปรับตัวต่อรูปแบบการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยก็เป็นการเพิ่มภาระการชำระหนี้ขึ้นอีกจึงเป็นเหตุผลในการสนับสนุนให้คงดอกเบี้ยไว้ก่อน แต่ในครั้งนี้ กนง.ได้แสดงความกังวลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการก่อหนี้ครัวเรือนที่ยังไม่ลดลงตามที่คาด ซึ่งอาจทำให้ กนง.ต้องพิจารณาว่า จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหรือจะใช้มาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการ Macroprudential เพื่อดูแลปัญหาดังกล่าวหรือไม่
แม้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ-ไทยจะมีแนวโน้มกว้างขึ้นต่อเนื่อง แต่ด้วยเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยที่เข้มแข็ง จึงทำให้ไทยมีกันชนทางการเงิน (cushion) ช่วยรองรับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวได้ จากการที่สหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และไทยมีแนวโน้มกว้างขึ้น จึงทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเริ่มมีความกังวลต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเงินไทยได้
อย่างไรก็ตาม อีไอซีมองว่าด้วยเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลในระดับสูง และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีมากเพียงพอ ทำให้ไทยมีกันชนทางการเงินและเครื่องมือเชิงนโยบายที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวดีก็ยังเป็นแรงดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศในรูป FDI และตลาดหุ้นได้ ดังนั้น แม้อาจจะมีเงินไหลออกไปบ้างเพื่อหาผลตอบแทนจากดอกเบี้ยส่วนต่าง ก็คงไม่มากจนส่งผลกระทบรุนแรงต่อเสถียรภาพการเงินของไทย
"งประเมินว่า กนง. จะมีความยืดหยุ่นในการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายให้สอดคล้องเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศมากกว่าปัญหาเสถียรภาพด้านต่างประเทศ ต่างจากบางประเทศที่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินสำรองไม่เข้มแข็ง จึงต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามสหรัฐฯ" เอกสารเผยแพร่ระบุ
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาประเด็นสงครามทางการค้า การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งจะมีผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยสงครามการค้าระหว่างประเทศอาจส่งผลต่อแนวโน้มการค้าโลก และการส่งออกไทยได้ สำหรับเหตุการณ์เรือท่องเที่ยวล่มที่ภูเก็ต ซึ่งส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง อีไอซีมองว่าจะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น และจะไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวโดยรวมอย่างมีนัย นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านที่ตึงเครียดขึ้น โดยสหรัฐฯ ได้ทำการ sanction สินค้าจากอิหร่านซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบ จึงอาจทำให้มีผลต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกซึ่งอาจสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้ จึงเป็นความเสี่ยงให้อัตราเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้
อนึ่ง วานนี้ (8 ส.ค.) ที่ประชุม กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยคณะกรรมการฯ ส่วนใหญ่มองว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ขณะที่กรรมการ 1 ท่านออกเสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% จากความกังวลด้านเสถียรภาพระบบการเงิน และการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า (policy space)