พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน CLMVT Forum 2018 จัดโดยกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMVT ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเป็นเวทีสร้างความร่วมมือในภูมิภาคให้เติบโตต่อเนื่องและแข่งขันได้ท่ามกลางความท้าทายและบริบทเศรษฐกิจการค้าโลกยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจทุกระดับอย่างทั่วถึงและยั่งยืน
กลุ่มประเทศ CLMVT ถือเป็นขุมทองแห่งโอกาส เพราะเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงและมีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ด้วยจำนวนประชากรรวมกัน 240 ล้านคน อัตราการขยายตัวของ GDP สูงถึง 6.2% ในปี 2560 (ขณะที่เศรษฐกิจโลกเติบโต 3.6%) กลุ่มประเทศ CLMVT จึงดึงดูดความสนใจจากผู้ประกอบการจากทั่วโลกให้เข้าไปลงทุน ค้าขาย และขยายธุรกิจเป็นจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง การค้าไทยกับ CLMV มีมูลค่ามากกว่า 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.6% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด (สูงถึง 42% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยไปอาเซียน) นับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อพิจารณาจากขนาดเศรษฐกิจและประชากรของประเทศ CLMV เทียบกับอาเซียนในภาพรวม
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยตั้งใจจัดงาน CLMVT Forum 2018 นำไปสู่การขยายความร่วมมือและการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาธุรกิจออนไลน์ โดยนายกรัฐมนตรีจะกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "การทะยานสู่อนาคตของภูมิภาค CLMVT ด้วยเทคโนโลยี"
สำหรับการจัดงาน CLMVT Forum 2018 ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรรวม 8 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรุงเทพมหานคร และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง และการสนับสนุนจากภาคเอกชน รวมทั้งสมาคมต่างๆ โดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยรัฐมนตรีด้านการค้า อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากกลุ่มประเทศ CLMVT ผู้บริหารระดับสูง นักธุรกิจชั้นนำ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นักวิชาการ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีในการค้า เศรษฐกิจใหม่ และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากทั้ง 5 ประเทศ CLMVT รวมถึงบริษัทชั้นนำของโลก จากสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยยึดมั่นในหลักการของการสร้างความเติบโตไปด้วยกัน ดังนั้นการแข่งขันและความร่วมมือจะดำเนินการควบคู่กันอย่างสมดุล เพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน รวมทั้งได้รับความสนใจจากเวทีโลกในฐานะของภูมิภาคที่มีศักยภาพด้านการค้าการลงทุน ซึ่งการประชุมครั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมการเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ ส่งเสริมบทบาทเอกชน และภาควิชาการ คลอบคลุมการพัฒนาที่ทั่วถึง และลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนา ทั้งภาคการผลิต ภาคการบริการ ให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือยุคแห่งการหลอมรวมเทคโนโลยี โดยเฉพาะการนำผลการวิจัย การค้นคว้านวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัยพัฒนาในเรื่องที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศและสำหรับภูมิภาคที่แท้จริง
"ทั้ง 5 ประเทศถือเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาช่วยยกระดับสินค้า ทั้งในภาคการผลิต การแปรรูป การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตร และช่องทางการจำหน่ายผ่านระบบเครือข่ายออนไลน์ทั่วโลก ที่สำคัญยังเน้นน้ำถึงการใช้แนวทางการตลาดนำการผลิตที่สามารถควบคุมราคาที่เหมาะสม และลดงบประมาณในการที่จะนำมาแก้ปัญหาสินค้าเกษตร"
ขณะที่ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยียุคใหม่ สร้างการเจริญเติบโตในภูมิภาคนี้ ซึ่งเห็นว่าควรมีการสร้างเครือข่ายและพัฒนาผู้ประกอบการให้มีทักษะ การค้าในยุคดิจิทัล และสร้างสภาพแวดล้อม และรูปแบบการใช้ดิจิทัลในภูมิภาคไว้ จัดวางระบบโลจิสติกส์ การชำระเงินข้ามพรมแดน ปรับมาตรฐานต่างๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกัน และที่สำคัญ คือการกำหนดความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับประเทศที่มีศักยภาพนอกกลุ่ม CLMVT เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยี และเป็นการเพิ่มมูลค่าทางการค้าที่จะป็นรากฐานสำคัญให้กับกลุ่มประเทศนี้สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างสมดุลและทั่วถึง ดังนั้นการประชุมในครั้งนี้จึงเป็นความหวังที่ทุกคนที่จะได้ร่วมกันเสนอความคิดแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การวางแนวทางการพัฒนาไปด้วยกัน