กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00-33.40 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 33.23 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางแรงขายดอลลาร์ทำกำไรในตลาดโลก ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 7.9 พันล้านบาทแต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 1.64 หมื่นล้านบาท หลังการประมูลพันธบัตรได้รับการตอบรับค่อนข้างดี
ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่แม้ว่าในช่วงต้นสัปดาห์ ตลาดกังวลผลกระทบจากวิกฤติค่าเงินในตุรกี แต่ท้ายสัปดาห์ จุดสนใจของตลาดหันเหออกจากตุรกี โดยการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวขึ้นจากความหวังที่ว่า แผนเจรจาทางการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในวันที่ 21-22 สิงหาคม อาจช่วยเรียกความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของการค้าโลก ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ยังกดดันค่าเงินปอนด์อย่างต่อเนื่อง
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดจะมุ่งความสนใจไปที่การเปิดเผยรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) รวมถึงการกล่าวสุนทรพจน์ของนายพาวเวลล์ ประธานเฟดในการประชุมประจำปีของธนาคารกลางทั่วโลกที่เมือง Jackson Hole ในวันที่ 24 สิงหาคม โดยในอดีต ประธานเฟดมักใช้การประชุมเชิงวิชาการดังกล่าวเพื่อส่งสัญญาณทิศทางนโยบายของเฟดในอนาคต
นอกจากนี้ ตลาดยังคงติดตามกระแสข่าวความคืบหน้าและท่าทีรัฐบาลสหรัฐฯ และจีนต่อการเข้าสู่เวทีเจรจาเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการค้า ในภาวะเช่นนี้ เราคาดว่าค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มพักฐานระยะสั้นหลังจากทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่าล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวแสดงความพอใจต่อการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ซึ่งสวนทางกับท่าทีก่อนหน้านี้ของผู้นำสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2561 ที่ระดับ 4.6% เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยจีดีพีขยายตัว 1.0% จากไตรมาสก่อนหน้า ด้วยแรงสนับสนุนหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนโดยรวมที่เร่งตัวขึ้น การส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการท่องเที่ยวชะลอตัวลง
ทั้งนี้ จีดีพีในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 เติบโต 4.8% โดยสภาพัฒน์ฯ คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่าจะขยายตัวในช่วง 4.2-4.7% แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของมูลค่าส่งออกเป็น 10% จากเดิม 8.9% ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสดังกล่าวทำให้เราเชื่อมั่นมากขึ้นต่อโอกาสที่ทางการจะตัดสินใจเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีนี้