นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการกล่าวปาฐกถาพิเศษ ภายในงานสัมมนา"Thailand-China Business Forum 2018:Comprehensive Strategic Partnership through the Belt and Road Initiative and the EEC"ว่า รัฐบาลไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจให้มีความเชื่อมโยงกับนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นอกจากนี้นักลงทุนจีนยังมีศักยภาพและความสนใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve ที่ไทยต้องการส่งเสริม และคาดว่า EEC จะเป็นพื้นที่สำคัญที่จะรองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้ เนื่องจากความพร้อมในด้านต่างๆ นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์กลางในการบ่มเพาะนวัตกรรม และสตาร์ท อัพ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แห่งอนาคต
"มั่นใจว่า ไทยและจีนจะร่วมกันสร้างเครือข่ายทางการค้าการลงทุน ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และขอให้มั่นใจว่าแม้ไทยจะเป็นประเทศเล็ก แต่ไทยก็มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นชาติหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าให้กับเอเชีย" นายสมคิด กล่าว
สำหรับในวันนี้ มีบริษัทจากจีนให้ความสนใจเข้าร่วมคณะมากกว่า 400 ราย ที่ให้ความสนใจมาศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
นายสมคิด กล่าวว่า การลงทุนของจีนในปัจจุบันแตกต่างไปจากเดิมเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลกและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดของจีนรวมทั้งความกระตือรือร้นของประเทศต่างๆในเอเชียในการสร้างความเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ระหว่างกันการลงทุนจากจีนจึงมีมิติในการสร้างความเข้มแข็งโดยรวมของภูมิภาคด้วย และนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของประเทศจีนได้กลายเป็นพลังสำคัญที่ทำให้กลุ่มประเทศอาเซียนกลายเป็นทำเลอันเป็นยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงภูมิภาคสำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในกลางของภูมิภาคอาเซียนรัฐบาลไทยจึงเห็นว่าสถานการณ์ในวันนี้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการขยายการลงทุนของจีนในประเทศไทย
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างไทยและจีนเป็นอย่างมาก นโยบาย Belt and Road ของจีน และนโยบายการสร้างศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนผ่านโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยเป็นนโยบายที่สอดคล้องกันและจะช่วยส่งเสริมให้นโยบายเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและภูมิภาคสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างดียิ่ง
"วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดียิ่งที่รัฐบาลไทยจะได้มีโอกาสแนะนำนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุนของไทยกับจีนคณะนักธุรกิจจีนจะได้รับทราบข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการเชื่อมไทยกับภูมิภาคเอเชียและจีนภายใต้โครงการ อีอีซี"
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนเพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลกำลังจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลอำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ แก่นักลงทุนให้รวดเร็วและทันท่วงทีซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ขณะที่นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า นักลงทุนจีนถือเป็นนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายสำคัญ โดยบีโอไอมีสำนักงานในจีนถึง 3 แห่งเพื่อเข้าถึงนักธุรกิจจีนทุกพื้นที่และจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงครึ่งปีแรก 2561 (ม.ค.59 – มิ.ย.61) โครงการลงทุนจีนที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมีมูลค่ากว่า 56,000 ล้านบาท และในปีนี้ บีโอไอได้จัดกิจกรรมเดินสายชักจูงการลงทุนในประเทศจีนไปแล้ว 7 ครั้งทั้งระดับรองนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ และระดับผู้บริหารบีโอไอเป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งก็ได้มีการจัดสัมมนาใหญ่เพื่อนำเสนอนโยบายส่งเสริมการลงทุนและการพบปะหารือรายบริษัทกับนักลงทุนชั้นนำของจีน