นายกฯ มอบรางวัล PM Award ฝากภาคเอกชนใช้นวัตกรรมเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday August 24, 2018 14:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวแสดงความยินดีกับเอกชนที่ได้รับรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น (Prime Minister’s Export Award : PM Award 2018) ว่า การส่งออกเป็นปัจจัยสำคัญของการขับเคลื่อนของประเทศบนเวทีโลก ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนและส่งเสริมภาคการค้าระหว่างประเทศของไทยอย่างดีเสมอมา รัฐบาลจึงได้มีนโยบายหลักที่มุ่งเน้นให้เกิดการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศซึ่งบรรจุอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อีกทั้งนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ผลักดันให้เกิดการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ด้วยการเน้นใช้นวัตกรรมในการออกแบบและผลิต เพื่อเพิ่มคุณภาพของสินค้าและบริการให้เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ทั้งยังเน้นสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานการผลิตสินค้าและบริการไทย โดยคงเอกลักษณ์แบบไทยอันโดดเด่นที่ไม่อาจหาได้จากที่อื่นใด เมื่อภาคการส่งออกและภาคธุรกิจโดยรวมเข้มแข็ง ก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคส่วนอื่นภายใต้พลังประชารัฐ ทำให้เศรษฐกิจฐานรากและภาคประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นเป็นลำดับ

สำหรับในปีนี้ มีผู้ประกอบธุรกิจได้รับรางวัลใน 7 ประเภท รวมทั้งสิ้น 35 รางวัล 32 บริษัท รางวัลนี้ ถือเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ สูงสุดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจส่งออกไทย ทั้งสินค้าและบริการประเภทต่างๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระตุ้นให้ผู้ที่ได้รับรางวัล ได้มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการของตนเองให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ ในระดับสากล รวมถึงทำให้ผู้นำเข้าและผู้ซื้อจากต่างประเทศเพิ่มความเชื่อมั่นต่อผู้ส่งออกของไทยที่ได้รับรางวัลอีกด้วย ซึ่งจากผลการดำเนินโครงการ ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปี 2561 ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 27 มีผู้ประกอบธุรกิจส่งออกไทยที่ได้รับรางวัลแล้วกว่า 600 ราย

นายกรัฐมนตรี กล่าวา ประเทศไทยจะสามารถยกระดับเศรษฐกิจของประเทศให้มีความก้าวหน้าและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพได้นั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือและความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนประกอบกันตามกลไก "ประชารัฐ" ในการเปลี่ยนผ่านรูปแบบเศรษฐกิจ จากเดิมให้กลายเป็นเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน/ประชาสังคม โดยทั้ง 3 ภาคส่วนนี้จะสนับสนุนเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันในการจัดทำนโยบาย กฎระเบียบต่างๆ ให้มีความเป็นสากล และสร้างแรงจูงใจ โดยการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจแบบบูรณาการ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมผ่าน 4 ปัจจัยหลักของประเทศ คือ 1) ภาคการเกษตรมีการใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการในการเพิ่มมูลค่าสินค้า 2) ผู้ประกอบการ SMEs ใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จ 3) แรงงานมีการพัฒนาทักษะให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีทักษะสูง 4) การเพิ่มมูลค่าธุรกิจบริการต่างๆ จากธุรกิจดั้งเดิมให้เป็นธุรกิจ ที่มีมูลค่าเพิ่ม เป็นธุรกิจบริการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อก้าวไปสู่ความก้าวหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ของแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวฝากให้ภาคเอกชน และผู้ประกอบการธุรกิจนำผลงานวิจัยต่าง ๆ ที่อยู่ในสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานต่าง ๆ ไปพัฒนาสู่การปฏิบัติและผลิตออกมาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมด้วย โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อออนไลน์มาใช้ในเรื่องของการตลาดและการค้าเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้สามารถจำหน่ายสินค้าได้ปริมาณมากและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นโดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ ประสานงานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อดำเนินการต่อไป

"ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ จะต้องมีการปรับตัว ใช้เทคโนโลยีใหม่ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งบางครั้งอยากให้ผู้ประกอบการนำผลงานวิจัยใหม่ๆที่รัฐบาล หรือมหาวิทยาลัยได้คิดค้นขึ้นมา นำมาพัฒนาสินค้าของตนเอง เพื่อเพิ่มมูลค่า"

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนี้ยึดหลักการแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่ยึดความมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันที่ดี ในการดูแลเศรษฐกิจของประเทศ ที่สำคัญรัฐบาลนี้ อำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในการการออกกฎหมาย พิจารณาเตรียมให้ใช้คลังข้อมูล หรือ บิ๊กดาต้า และช่วยเหลือบริการในการลงทุน พร้อมทั้งฝากภาคเอกชนช่วยสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง พร้อมทั้งฝากให้ผู้ประกอบการช่วยกันดูแลคนในประเทศด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งแยกแต่จะต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน ตั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง เรื่องของประชาธิปไตยนั้นได้ศึกษาจากตำราต่างประเทศ คำว่าประชาธิปไตย คือ ประชานิยม เพราะเป็นการเลือกคนที่นิยมและชื่นชอบ แต่ถ้าทำเป็นโครงการต้องเป็นประโยชน์และไม่มีผลต่อการเงินการคลังของประเทศ ไม่ใช่นำงบฯเกินครึ่งของประเทศมาทำโครงการประชานิยม หรือให้เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่ตนเองพูด ต้องการสื่อไปถึงประชาชนรวมถึงพรรคการเมืองต่างๆที่ยังพยายามจะบิดเบือนและกังวลว่าประชาชนจะเข้าใจผิดและจะย้อนกลับเป็นแบบเดิม เพราะที่ผ่านมาคนที่มีฐานะอาจไม่สนใจการเมืองมากนัก แต่คนที่มีรายได้น้อยมักสนใจการเมืองและการเลือกตั้ง ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับที่ประชาชนจะเลือก และตนเองไม่สนใจว่าใครจะมาต่อว่าอะไรตน และยืนยันไม่เคยปิดกั้นการเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และตลอด 4 ปีที่ผ่านมาได้ชี้แจงการทำงานมาตลอด ยอมรับว่ารู้สึกเหนื่อย โดยปีหน้าได้เตรียมความพร้อมเป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน แต่ยังไม่ทราบว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ