นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการสานพลังประชารัฐด้านการส่งเสริมการค้า ธุรกิจบริการ และการลงทุนในต่างประเทศว่า ภาคเอกชนประเมินว่ามูลค่าการส่งออกไทยทั้งปี 61 น่าจะขยายตัวได้ 9% จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 257,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้จะมี Trade War เกิดขึ้น แต่การส่งออกยังทำได้ดี โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่หลายตัวการส่งออกเป็นบวก ส่วนสินค้าเกษตร มีทั้งบวก ทรงตัว และติดลบ แต่ภาพรวมยังเป็นบวก
"ตอนนี้เป้าหมายยังอยู่ที่โต 8% กระทรวงฯจะนำตัวเลขของภาคเอกชนมาประเมินร่วมกับข้อมูลจากทูตพาณิชย์ในประเทศต่างๆ อีกที ก็จะได้เป้าหมายการส่งออกปีนี้ ส่วนจะเพิ่มขึ้นเท่าไรต้องประเมินกันก่อน แต่ทิศทางดีขึ้นแน่ ส่วนการจัดทำเป้าหมายการส่งออกปี 62 ได้สั่งการให้นัดประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลกในช่วงเดือนต.ค.61 แล้ว" รมว.พาณิชย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงสำคัญทั้งสงครามการค้า รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ซึ่งเอกชนมีความกังวล ส่วนการขับเคลื่อนการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงเน้นการสร้างหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ที่จะต้องทำให้เข้มข้นมากขึ้น
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าทีมเอกชน กล่าวว่า การส่งออกครึ่งปีหลังยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ตัวเลขอาจไม่สูงเท่าครึ่งปีแรก เพราะฐานการส่งออกครึ่งปีหลังของปีก่อนสูง แต่โดยภาพรวมส่งออกครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวได้ 7% โดยมูลค่าการส่งออกกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 5% และกลุ่มอุตสาหกรรม เพิ่ม 11% เมื่อรวมกับครึ่งปีแรกที่เพิ่มขึ้น 11% มีโอกาสที่ทั้งปีจะโตได้ 9% มูลค่าประมาณ 257,950 ล้านเหรียญฯ
ส่วนการประมาณการมูลค่าการส่งออกในปี 62 ขยายตัวเท่าไร ขณะนี้ยังไม่กล้าประเมินล่วงหน้าเพราะหลายปัจจัยยังผันผวน โดยเฉพาะนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ไม่รู้จะมีอะไรเพิ่มเติมอีก รวมถึงมาตรการตอบโต้ระหว่างประเทศเศรษฐกิจสำคัญของโลก ทั้งสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ยุโรป โดยภาครัฐและเอกชนจะหารือกันอีกครั้งในเดือนต.ค.นี้ จึงจะระบุคาดการณ์ตัวเลขส่งออกปี 62 ได้
"สิ่งที่เอกชนมีความกังวลและอยากให้รัฐบาลดูแล คือ การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าเงินบาท แม้ตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แต่อ่อนค่าน้อยกว่าประเทศคู่แข่ง ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย ส่วนเรื่อง Trade War ระยะสั้นยังไม่ได้รับผลกระทบ อุตสาหกรรมหลายชนิดยังส่งออกได้ดี เช่น รถยนต์ แต่ที่ต้องติดตาม คือ ภาคเกษตรที่ยังไม่ดีนัก โดยเฉพาะราคามันสำปะหลัง"