รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีข้อสั่งการไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือโครงการเน็ตประชารัฐ ที่มีข้อร้องเรียนเรื่องคุณภาพของสัญญาณ และการเข้าถืงการใช้งานด้วย และรายงานให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบภายใน 1 เดือน
พร้อมกันนี้ ยังให้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจร่วมกับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง, กระทรวงมหาดไทย, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผล ใน 2 เรื่องหลักทื่สำคัญ คือ สังคมไร้กระดาษ (paperless) และสังคมไร้เงินสด (cashless)
โดยให้กระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลกลาง ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนผ่านเลขประจำตัวประชาชน โดยมีระบบรองรับให้หน่วยงานอื่นสามารถเข้าถืงและใช้ประโยชน์ข้อมูลได้ เมื่อได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล และในกรณีที่ตัองมีการยืนยันตัวตนก็ให้สามารถทำได้โดยอาศัยข้อมูลทางชีวนิติ (biometrics) เช่น ลายนี้วมือ หรือม่านตา เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังให้กระทรวงการคลัง พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการจูงใจ เช่น มาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียม เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ประกอบการซื้อขายสินคา ชำระเงิน หรือทำธุรกรรมอื่น ๆ ผ่านระบบพร้อมเพย์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมเศรษฐกิจดิจิทัล และรัฐบาลดิจิทัลตามนโยบาย 4.0 เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ทั้งนี้ บมจ.ทีโอที ได้ติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือเน็ตประชารัฐ ครบ 24,700 หมู่บ้านเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 18 ธ.ค.60 และผ่านขั้นตอนของการตรวจรับไปแล้วหลายพื้นที่ อีกทั้งยังได้รับจัดสรรงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท ทำโครงการเพื่อสร้างการรับรู้และสร้างเทรนเนอร์ให้ทุกหมู่บ้าน เพื่อสอนการใช้งานที่ถูกต้องและปลอดภัย วงเงิน 450 ล้านบาท และอีก 600 ล้านบาท จากงบกลาง ค่าใช้จ่ายส่งเสริม และสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2560
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกไปยังโรงเรียน 4,200 แห่ง รวม 420 ล้านบาท และโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบลอีก 800 แห่ง เป็นเงิน 160 ล้านบาท ซึ่งจะติดตั้งให้เสร็จภายใน ก.ย.61