นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวในงาน "Thailand Focus 2018: The Future is now" โอกาสการลงทุน...ไม่ต้องรออนาคต ในหัวข้อ Retail Business Revolution (ปฎิวัติภาคธุรกิจค้าปลีก) ว่า มองธุรกิจค้าปลีกในอนาคต 3-5 ปีจากนี้ ต้องทำการค้าในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป โดยกลยุทธ์ของกลุ่มเซ็นทรัลจะมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางการค้าให้กับลูกค้า จากการปรับ Business Model มอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในทุกช่องทาง เช่น การจ่ายเงิน การซื้อสินค้า การให้บริการ ต้องสะดวกสบาย ให้ลูกค้าพึงพอใจ เพื่อดึงดูดความสนใจและรักษาฐานลูกค้าเดิม รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม E-Commerce เช่น การร่วมมือกับ JD.com หรือการทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อหาวิธีการจ่ายเงินที่คล่องตัวสำหรับผู้บริโภค
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้นำเอาข้อมูล The One Card มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในด้านของพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น ผู้กำลังมีบุตร มักจะมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตค่อนข้างมาก บริษัทฯ จะหาวิธีการเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถช้อปปิ้งได้ตอบโจทย์มากขึ้น หรือให้เหมาะสมกับคนแต่ละคน
"ตอนนี้ธุรกิจได้เปลี่ยนโฉม (Disrupt) ไปหมดแล้ว ทั้งลูกค้า ระบบการค้า ที่เป็นดิจิทัลเพิ่มขึ้น ซึ่งธุรกิจแบบออฟไลน์ต้องเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันไปสู่การเป็นดิจิทัล หากไม่เปลี่ยนเป็นดิจิทัลก็ต้องล้มหายตายไปจากไป" นายญนน์กล่าว
ด้าน Mr.Alex Ng, Executive Director, Kerry Express (Thailand) กล่าวว่า การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ในอีก 5 ปีข้างหน้า มองว่าจะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขนส่ง โดยเฉพาะพัสดุจะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในอนาคต จะเห็นได้จากในอดีตที่บริษัทฯ มีการขนส่งพัสดุหลักหมื่นชิ้น จนในปัจจุบันที่มีการส่งพัสดุในระดับ 1 ล้านชิ้นแล้ว
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ จะขยายการให้บริการเก็บเงินแบบ e-Payment และจะขยายจากการดำเนินงานในลักษณะออฟไลฟ์ไปสู่ออนไลน์มากขึ้น โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการร่วมมือกับ LAZADA และ BTS กรุ๊ป ซึ่งคาดว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเห็นจุดให้บริการรับส่งพัสดุบน BTS มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนในเมืองที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และตอบสนองความต้องการให้กับผู้ที่ต้องการส่งสินค้าด่วน
ทั้งนี้ นอกจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจโลจิสติกส์แล้ว ธุรกิจดังกล่าวยังได้ปรับกระบวนทัศน์ หรือสามารถดึงดูดความน่าสนใจให้คนรุ่นใหม่หรือนักศึกษาจบใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานด้านโลจิสติกส์มากขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มองประเทศไทยยังมีการเติบโตได้อีกมาก จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะทำให้ Kerry Express (Thailand) เติบโตไปตามเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทขนส่งที่ใหญ่กว่าเดิม
ขณะที่ Mr.James Z.Dong, CEO of Lazada Thailand กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของ Alibaba คือ การพยายามทำธุรกิจให้ง่ายขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โดยมุ่งเน้นไปที่ยอดขายและการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆ ในการเป็นศูนย์กลางของกลุ่มอาลีบาบา จากที่รัฐบาลไทยได้พยายามทำให้การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางบก ทางเรือ ทางราง และทางอากาศเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมาอาลีบาบา ก็ได้มีการทำงานร่วมกันกับประเทศไทยในการผลักดัน SMEs ให้เข้าถึงดิจิทัล จากการส่งออกสินค้าไปจีน เป็นต้น
"เรามองประเทศไทยถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีผู้บริโภคที่มีความพร้อมสูง จากจำนวนประชากรประมาณ 40 ล้านคนที่สามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่น และยังมีระบบนิเวศน์ที่ดีมาก จากการสนับสนุนของรัฐบาล เช่น ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการผลักดัน SME ให้เข้าถึงดิจิทัลได้จากการขายสินค้าไปจีน" CEO of Lazada Thailand ระบุ