ภาคธุรกิจ เห็นพ้องต้องปรับตัวนำดิจิทัลเข้ามาเสริมการแข่งขัน พัฒนาจากระบบออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 29, 2018 18:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวในงาน "Thailand Focus 2018: The Future is now" โอกาสการลงทุน...ไม่ต้องรออนาคต ในหัวข้อ Retail Business Revolution (ปฎิวัติภาคธุรกิจค้าปลีก) ว่า มองธุรกิจค้าปลีกในอนาคต 3-5 ปีจากนี้ ต้องทำการค้าในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป โดยกลยุทธ์ของกลุ่มเซ็นทรัลจะมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางการค้าให้กับลูกค้า จากการปรับ Business Model มอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในทุกช่องทาง เช่น การจ่ายเงิน การซื้อสินค้า การให้บริการ ต้องสะดวกสบาย ให้ลูกค้าพึงพอใจ เพื่อดึงดูดความสนใจและรักษาฐานลูกค้าเดิม รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม E-Commerce เช่น การร่วมมือกับ JD.com หรือการทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อหาวิธีการจ่ายเงินที่คล่องตัวสำหรับผู้บริโภค

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้นำเอาข้อมูล The One Card มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในด้านของพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น ผู้กำลังมีบุตร มักจะมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตค่อนข้างมาก บริษัทฯ จะหาวิธีการเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถช้อปปิ้งได้ตอบโจทย์มากขึ้น หรือให้เหมาะสมกับคนแต่ละคน

"ตอนนี้ธุรกิจได้เปลี่ยนโฉม (Disrupt) ไปหมดแล้ว ทั้งลูกค้า ระบบการค้า ที่เป็นดิจิทัลเพิ่มขึ้น ซึ่งธุรกิจแบบออฟไลน์ต้องเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันไปสู่การเป็นดิจิทัล หากไม่เปลี่ยนเป็นดิจิทัลก็ต้องล้มหายตายไปจากไป" นายญนน์กล่าว

ด้าน Mr.Alex Ng, Executive Director, Kerry Express (Thailand) กล่าวว่า การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ในอีก 5 ปีข้างหน้า มองว่าจะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขนส่ง โดยเฉพาะพัสดุจะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในอนาคต จะเห็นได้จากในอดีตที่บริษัทฯ มีการขนส่งพัสดุหลักหมื่นชิ้น จนในปัจจุบันที่มีการส่งพัสดุในระดับ 1 ล้านชิ้นแล้ว

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ จะขยายการให้บริการเก็บเงินแบบ e-Payment และจะขยายจากการดำเนินงานในลักษณะออฟไลฟ์ไปสู่ออนไลน์มากขึ้น โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการร่วมมือกับ LAZADA และ BTS กรุ๊ป ซึ่งคาดว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเห็นจุดให้บริการรับส่งพัสดุบน BTS มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มคนในเมืองที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และตอบสนองความต้องการให้กับผู้ที่ต้องการส่งสินค้าด่วน

ทั้งนี้ นอกจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจโลจิสติกส์แล้ว ธุรกิจดังกล่าวยังได้ปรับกระบวนทัศน์ หรือสามารถดึงดูดความน่าสนใจให้คนรุ่นใหม่หรือนักศึกษาจบใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานด้านโลจิสติกส์มากขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มองประเทศไทยยังมีการเติบโตได้อีกมาก จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะทำให้ Kerry Express (Thailand) เติบโตไปตามเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทขนส่งที่ใหญ่กว่าเดิม

ขณะที่ Mr.James Z.Dong, CEO of Lazada Thailand กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของ Alibaba คือ การพยายามทำธุรกิจให้ง่ายขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โดยมุ่งเน้นไปที่ยอดขายและการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆ ในการเป็นศูนย์กลางของกลุ่มอาลีบาบา จากที่รัฐบาลไทยได้พยายามทำให้การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางบก ทางเรือ ทางราง และทางอากาศเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมาอาลีบาบา ก็ได้มีการทำงานร่วมกันกับประเทศไทยในการผลักดัน SMEs ให้เข้าถึงดิจิทัล จากการส่งออกสินค้าไปจีน เป็นต้น

"เรามองประเทศไทยถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีผู้บริโภคที่มีความพร้อมสูง จากจำนวนประชากรประมาณ 40 ล้านคนที่สามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่น และยังมีระบบนิเวศน์ที่ดีมาก จากการสนับสนุนของรัฐบาล เช่น ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการผลักดัน SME ให้เข้าถึงดิจิทัลได้จากการขายสินค้าไปจีน" CEO of Lazada Thailand ระบุ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ