น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมหากสหรัฐฯ มีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญฯ แต่คาดว่าสินค้าไทยยังมีโอกาสส่งออกทดแทนสินค้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างกัน โดยกลุ่มสินค้าที่ไทยมีโอกาสทดแทนสินค้าจีน ในตลาดสหรัฐฯ อาทิ กลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ถั่วแห้ง แผ่นยางสดรมควัน ข้าวสี ยางแท่ง, กลุ่มผักผลไม้สด แช่แข็ง แช่เย็นและแปรรูป เช่น กล้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด มะละกอ สับปะรด เป็นต้น กลุ่มอาหารทะเลแช่แข็ง และแปรรูป เช่นปลาทูน่าบิ๊กอาย ปลาทูน่าท้องแถบ ปลาทูน่าครีบเหลืองสดและแช่แข็ง เนื้อปลาแช่แข็ง
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น น้ำผึ้งธรรมชาติ, กลุ่มอาหารปรุงแต่งและเครื่องดื่ม เช่น อาหารสุนัข/แมวสำหรับขายปลีก เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ที่ไม่ใช่น้ำผลไม้, กลุ่มเคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก เช่น กรดซิตริก, กลุ่มยานยนต์และส่วนประกอบ เช่น เครื่องยนต์สันดาปภายใน ยางรถยนต์
"สินค้าที่ไทยมีศักยภาพสูงในการส่งออกทดแทนสินค้าจีน ได้แก่ ข้าวสี ยางแท่ง มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด น้ำผึ้งธรรมชาติ กรดซิตริก เครื่องยนต์สันดาปภายใน"
อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ จะติดตามการขึ้นภาษีรอบใหม่ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ประกอบการสำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือต่อไป
"สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ- จีน มีแนวโน้มยืดเยื้อ หลังการเจรจา 2 ฝ่ายยังไม่ได้ข้อยุติ โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ น่าจะใช้สงครามการค้าเบี่ยงเบนความสนใจจากที่โดนโจมตีปัญหาส่วนตัว และเพื่อรักษาฐานเสียงในการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือน พ.ย.นี้ โดยอาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 25% รวมมูลค่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากปัจจุบันที่ขึ้นภาษีสินค้าจีนไปแล้ว 50,000 ล้านเหรียญฯ หลังรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องที่คาดว่าจะแล้วเสร็จวันที่ 6 ก.ย.นี้ ขณะที่นาย สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน พร้อมใช้มาตรการตอบโต้ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 5-25% มูลค่ารวม 60,000 ล้านเหรียญฯ เพราะยังต้องการรักษาภาพลักษณ์ผู้นำจีนที่เข้มแข็งต่อชาติตะวันตก และมุ่งสร้างความมั่งคั่งให้จีนตามวิสัยทัศน์ Chinese dreams" น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว